2018S_BWKV: ตามรอยชีวิตชาวยิวในกรุงวอร์ซอ

เราเดินทางสู่วอร์ซอโดย overnight bus ด้วยการจองผ่าน DB จุดที่ขึ้นรถจะอยู่ด้านนอกฝั่งตรงข้ามกับ Berlin Hbf เราถามพนักงานหลายรอบมากเพราะมองไปฝั่งตรงข้ามมันไม่มีป้ายบอก เราก็กลัวไปผิดแล้วจะเสียเวลาเดินกลับไปกลับมา ถามคนแถวนั้นที่ไม่ใช่พนักงานก็ไม่มีใครรู้ จนครั้งสุดท้ายเค้าบอกให้ข้ามถนนไป แล้วจะเจอเอง แล้วก็เจอจริงๆ ฉะนั้น ขอให้มั่นใจและเดินในข้ามถนนไป ก็จะเจอรถบัสจอดรออยู่แล้ว แค่ยื่นตั๋วให้คนขับสแกน ทุกอย่างก็เรียบร้อย เตรียมนอนยาวๆ ได้เลย

Day 4: Lazy Day

เราเดินทางถึงสถานี Warzawa Dworzec Zachodni ตอนเช้าเวลาประมาณ 7.30 น. แต่ฟ้ายังคงมืดและหมอกลงจัดมากจนมองแทบไม่เห็นอะไรเลย ก็เลยจัดการแลกเงินพร้อมกับทานอาหารเช้าที่ท่ารถนี้ไปก่อน แล้วค่อยเดินทางไปที่พักโดยแท็กซี่ เพราะหมอกยังคงหนา มองอะไรไม่ค่อยเห็น

S6 by Platinum Residence คือที่พักของเราสำหรับ 2 คืนในกรุงวอร์ซอ ที่นี่เป็น service apartment ตั้งอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์และสถานีรถราง ห้องที่เราจองเป็นห้องสตูดิโอขนาด 40+ ตร.ม. ห้องน่าอยู่มากกกกก และราคาไม่แพง คืนละประมาณ 1,500+ บาท สามารถทำอาหาร ซักผ้าได้ในห้องเลย ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางแล้วมาเจอห้องน่าอยู่ขนาดนี้ เรานี่แทบไม่อยากออกไปไหน

หลังจากให้เวลากับความขี้เกียจไปพักใหญ่ ก็ได้เวลาออกไปสำรวจเมืองและไปมิวเซียมอีก 1 แห่ง เราพบว่าวอร์ซอเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าที่คิดเยอะ ทั้งในแง่ของขนาดและความหนาแน่นประชากร สิ่งที่ทำให้เหนื่อยสุดๆ คือถนนที่กว้างมากๆ (เมื่อเทียบกับเมืองอื่นที่ไปมา) เพื่อรองรับทั้งรถยนต์ รถราง จักรยาน อาคารสถานที่ต่างๆ ก็จะมีอาณาบริเวณรอบตัวเอง ถ้าเดินหลงทางทีนึงก็เหนื่อยมากในการเดินวนกลับไปที่เดิม แต่ในความกว้างใหญ่ก็ยังมีข้อดีอยู่เรื่องนึงคือการมีป้ายรถเมล์ที่แยกย่อยไปตามซอยเล็กๆ ด้วย ส่วนใหญ่เราเลยใช้บริการรถเมล์มาลงที่ป้าย Kolejowa มากกว่าจะใช้รถรางเพราะสถานีที่ใกล้สุดมันอยู่ไกลกว่า และต้องเดินผ่านถนนมืดๆ ด้วย

มิวเซียมที่เราจะไปดูวันนี้คือ POLIN Museum เป็นมิวเซียมเกี่ยวกับชาวยิวที่ไม่เหมือนกับที่เราเคยไปมา เพราะมันยิ่งใหญ่กว่ามาก ด้วยเหตุที่ว่าในอดีตนั้น โปแลนด์เคยเป็นประเทศที่มีชุมชนชาวยิวอาศัยอยู่มากที่สุด และที่ตั้งของมิวเซียมนี้ก็เคยเป็นที่ตั้งของ Warsaw Ghetto มาก่อน ดังนั้นเรื่องราวในมิวเซียมนี้ย่อมไม่ได้นำเสนอแค่เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเท่านั้น แต่เริ่มเล่าตั้งแต่ชาวยิวเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่ และเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า Polin ซึ่งมาจากภาษาฮิบรูที่แปลว่า rest here และเริ่มสร้างชุมชนที่มีวัฒนธรรม ความเชื่อ และภูมิปัญญาเป็นของตนเอง จนมีบทบาทสำคัญในทางการเมือง… โดยสรุปก็คือ ถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับชาวยิว ให้มาที่นี่เลยค่ะ มีครบทุกเรื่องราวอัดแน่นมากๆ เผื่อเวลาไว้เลยอย่างน้อย 3 ชั่วโมงค่ะ

รางวัลจากคุณตำรวจสำหรับคนซื้อตั๋วรถเมล์ : )

Day 5: The Zoo and Music

วันที่สองในวอร์ซอกับอากาศที่เย็นน้อยกว่าเมื่อวาน เลยทำให้มีฝนตกเบาๆ ในตอนเช้า แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางในวันนี้ ซึ่งที่แรกที่เราจะเดินทางไปนั้น คนที่เคยได้ชมภาพยนตร์เรื่อง The Zookeeper’s Wife น่าจะร้องอ๋อในทันที เพราะเรากำลังจะเดินทางไปยัง Warsaw Zoo เป็นสถานที่ซึ่งในช่วงเวลาที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปยังค่ายกักกันนั้น สองสามีภรรยา Zabinski เจ้าของสวนสัตว์แห่งนี้ ได้ใช้ห้องใต้ดินภายในบ้านของตัวเอง (ซึ่งอยู่ในเขตสวนสัตว์) เป็นที่หลบซ่อนให้กับชาวยิวเป็นเวลาหลายปีโดยที่ไม่มีใครจับได้ ทำให้มีผู้รอดชีวิตจากการช่วยเหลือครั้งนี้รวมกว่า 300 คน

ถึงแม้จุดมุ่งหมายของเราคือเพียงแค่อยากจะไปชมบ้าน Zabinski แต่เราก็ต้องเสียค่าตั๋วเพื่อเข้าสวนสัตว์ในราคาที่รวมค่าธรรมเนียมแล้ว 23 PLN และทำการส่งอีเมลเพื่อนัดหมายเวลาในการเข้าชมบ้าน เนื่องจากต้องมีไกด์คอยพาเดินด้วย เมื่อก้าวเท้าผ่านประตูสวนสัตว์เข้าไป เราสัมผัสได้ถึงความเงียบแบบที่ไม่เคยเจอในสวนสัตว์ไหนมาก่อน เรียกได้ว่าแทบไม่เจอคน ประกอบกับอาณาเขตที่กว้างขวางสุดสายตาและอากาศหนาว เราสารภาพเลยว่าเดินไม่ทั่วถึง เดชะบุญที่บ้าน Zabinski อยู่ใกล้ประตูทางเข้า เลยไม่ต้องเดินไกลมาก

Crazy Happy House คือคำนิยามของบ้านหลังนี้ที่ไกด์บอกกับเรา มาจากความกล้าและบ้าของสองสามีภรรยา Jan และ Antonina ที่พยายามช่วยเหลือและให้ที่หลบซ่อนแก่ชาวยิวด้วยวิธีที่แนบเนียนและแยบยล ด้วยการเล่นเปียโนเพื่อส่งสัญญาณถึงเวลาที่สามารถออกมาจากห้องใต้ดินได้ด้วยเพลง Mazurka ของ Chopin หรือให้รีบซ่อนตัวและห้ามส่งเสียงด้วยเพลง La Belle Helene ของ Jacques Offenbach จากเรื่องราวในหนังจนมาถึงโมเมนต์ที่เราได้เห็นเปียโนตัวที่ Antonina ใช้เล่นจริงๆ วางตั้งอยู่กลางห้อง เรารู้สึกได้ถึงความตื้นตันบางอย่างอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่ถึงกับทำให้ร้องไห้ออกมาหรอกนะ ฮ่าๆ … จากนั้นไกด์ก็พาเราลงไปดูห้องใต้ดิน ที่จริงๆ แล้วเค้าทำไว้ให้สัตว์อยู่ มีการแบ่งซอยย่อยเป็นห้องเล็กบ้างใหญ่บ้าง ซึ่งก็พอจะทำเป็นที่ให้คนหลบซ่อนชั่วคราวได้หลายสิบคน

ความสำคัญของบ้านหลังนี้ไม่ได้อยู่ที่ขนาด เพราะมันเป็นแค่บ้านสีขาวหลังเล็กๆ ธรรมดา ไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินมีค่าของตกแต่งภายใน เพราะในบ้านเต็มไปด้วยหนังสือและแมลงที่ Jan สตาฟไว้ แต่สิ่งที่นำพาผู้คนมาเยือนที่นี่คือ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าของบ้าน ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก แม้จะเป็นเพียงจำนวน 300 จาก 6 ล้านคน แต่เพียงแค่ชีวิตเดียว ทั้งสองคนนี้ก็ยอมเสี่ยงเพื่อชีวิตที่บริสุทธิ์

พักเรื่องเครียดมาดื่มด่ำกับดนตรีคลาสสิคของคีตกวีชาวโปแลนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกกันบ้าง ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Fryderyk Franciszek Chopin เราจึงเดินทางไปยังสถานที่ที่รวบรวมทุกอย่างของโชแปงไว้อย่างครบถ้วนสุดๆ ก็คือ Fryderek Chopin Museum เรากล้าพูดได้เลยว่ามิวเซียมนี้เป็นมิวเซียมดนตรีคลาสสิคที่คนธรรมดาก็สามารถเข้าถึงได้ แม้ว่าช่วงชีวิตของโชแปงจะสั้นเพียงแค่ 39 ปี แต่มิวเซียมนี้ได้เอาผลงานของโชแปงมาร้อยเรียงเข้ากับแต่ละช่วงชีวิตของเขาได้อย่างน่าติดตาม และมี Interactive หลายอย่างมาช่วยทำให้ไม่น่าเบื่อ ยิ่งถ้าใครเป็นสายที่ชื่นชอบดนตรีคลาสสิคละก็ น่าจะอยู่ได้เป็นวันแน่นอนค่ะ

ปิดท้ายวันนี้ด้วยร้านอร่อยที่สุ่มมั่วๆ จากใน Google Maps เอา เลยได้มาลองร้านนี้ Restauracja Oliva เป็นร้านอาหาร Mediterranean ที่อร่อยมาก จาก Chopin Museum สามารถเดินได้ไม่ไกลค่ะ

สำหรับวอร์ซอ เมืองที่เราเคยได้ยินแต่ชื่อแต่นึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นยังไงนั้น วันนี้เราเห็นมันชัดขึ้น อาจจะไม่ใช่เมืองที่มีสีสันฉูดฉาด สดใส และตื่นตัวตลอดเวลาเหมือนเมืองอื่นๆ เพราะสิ่งที่พวกเขาข้ามผ่านมาถ้าเทียบแล้วก็เพียงแค่ช่วงอายุคนเดียวเท่านั้น แต่เราก็เชื่อว่าความสุขของพวกเขาก็คือความสงบแบบนี้นี่แหละ : )

ไป Krakow กันต่อเลย