2019S_RVHO: ตามรอยเอลซ่าไปหาดทรายดำ ที่ไอซ์แลนด์

ไอซ์แลนด์ จุดหมายที่น่าจะถูกบรรจุไว้เป็น 1 ในจำนวนสถานที่ในฝันที่นักเดินทางอยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต ทั้งแสงเหนือ ถ้ำน้ำแข็ง หาดทรายสีดำที่ดูลึกลับและภูมิประเทศแปลกตาที่ไม่สามารถพบเจอได้ในส่วนอื่น ๆ ของโลก ภาพเหล่านี้เหมือนมีมนต์สะกดให้เราต้องออกเดินทาง แต่ก็ติดอยู่ที่ว่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่พร้อมทั้งเวลาและกำลังเงินนั้นก็หาไม่ง่าย เพราะเท่าที่ทำการบ้านมาส่วนใหญ่แล้วจะออกเดินทางเป็นกลุ่มแก๊ง ใช้วิธีขับรถจอดแวะเที่ยวแวะพักกันตามจุดต่าง ๆ ในหัวจึงไม่เคยถูกบันทึกไว้เลยว่าจะไปไอซ์แลนด์ได้ด้วยตัวคนเดียว

และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่งที่อยู่ ๆ ก็ค้นไปค้นมาว่าไอซ์แลนด์เค้ามีรถบัสวิ่งตามเส้นทางที่เราแวะเที่ยวได้ด้วย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นไปได้ที่จะเที่ยวไอซ์แลนด์คนเดียวโดยไม่ขับรถได้ แต่จะทุลักทุเลขนาดไหน ไปอ่านกันต่อเลยจ้าาา

ก่อนออกเดินทางก็แอบมีข้อควรระวังมาบอกกันเล็กน้อยในขั้นตอนการยื่นวีซ่าเชงเก้นที่บางทีเราก็ไม่ได้ดูให้ละเอียดถี่ถ้วนอย่างเรื่องของการแวะเปลี่ยนเครื่องก็มีผลต่อการนับวันที่จะซื้อประกันการเดินทาง โดยปกติเราก็จะเริ่มนับวันแรกเมื่อเราก้าวเท้าออกจากประเทศ และสิ้นสุดเมื่อเราก้าวเท้าออกจากประเทศที่เราเดินทางไป แน่นอนว่าขาออกไม่มีปัญหา แต่ขากลับนี่สิ เที่ยวบินขาออกของเราจากออสโลวันที่ 10 ธ.ค. เวลา 20.25 น. และแวะเปลี่ยนเครื่องที่เฮลซิงกิ 22.55 น. โดยที่เครื่องจะออกจากเฮลซิงกิกลับไทยที่เวลา 00.45 น. ของวันที่ 11 ธ.ค. นั่นหมายความว่าถ้าไม่ได้ดูเที่ยวบินอย่างละเอียดแบบเรา ก็จะซื้อประกันไว้แค่วันที่ 10 (วันที่เริ่มเดินทางออก) แต่วันที่ 11 เรายังไม่พ้นเขตเชงเก้นเลย เพราะฉะนั้นต้องคิดเผื่อตรงนี้ไว้ด้วยนะคะ 

แต่ความพีคเกี่ยวกับวีซ่ายังไม่หมดแค่เรื่องเดียวค่ะ บนหน้าวีซ่าของเราจะมีระบุระยะเวลาที่เรายื่นขอเข้าเขตเชงเก้นเอาไว้ (Duration of Stay) จุดนี้ยอมรับว่าไม่เคยสังเกตเลย ที่ผ่านมาดูแต่วันที่เริ่มและสิ้นสุดเท่านั้น (From / To) ทีนี้ จำนวนวันที่เราขอไว้มันจะสิ้นสุดวันที่ 10 (วันที่เริ่มเดินทางออก) แต่ด้วยความต้องเปลี่ยนเครื่องตอน 22.55 น. ทำให้มีความเฉียดฉิวในการผ่านด่าน ต.ม. ให้ทันก่อนจะเที่ยงคืน (ข้ามวัน) ไม่งั้นวีซ่าอาจจะมีปัญหา ซึ่งต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินตอนขาออกจากไทยมาก ๆ ที่เตือนเราล่วงหน้า เพราะเอาเข้าจริง เรามีเวลาอย่างมากที่สุดประมาณ 40 นาทีในการไปให้ถึงจุดตรวจก่อนเที่ยงคืน โชคดีที่ไฟลท์ไม่ดีเลย์ และถ้าไม่ได้พี่เค้าเตือนละก็ คงจะคิดว่ามีเวลาเหลือ ๆ อีกเกือบ 2 ชั่วโมง เดินชิลแน่นอน ฮ่า ๆ

Day 1: Reykjavik

เราเดินทางถึงเรคยาวิกเวลาประมาณ 9 โมงครึ่ง และเดินทางออกจากสนามบิน Keflavik โดยรถตู้ไปยังที่พักของเราในคืนแรกนี้ที่ First Hotel Reykjavik Kopavogurค่ารถตู้จากสนามบินไปยังที่พักนี้ก็แอบตกใจนิดนึง เนื่องจากมีเรานั่งไปคนเดียว เพราะไม่อยู่ในเส้นทางหลักเข้าเมืองเรคยาวิก ก็เลยเสียค่าเดินทางสูงหน่อย ประมาณ 1,500 บาท เหตุผลที่เราไม่เข้าไปพักในเรคยาวิกเลยเพราะกะว่าจะนั่งรถบัสไปเที่ยวนอกเมืองจากจุดจอดที่ไม่ต้องไปผ่านใจกลางเมืองก่อน ก็เลยเลือกที่นี่ วันนี้ทั้งวันที่เหลือก็เลยพักเอาแรงก่อน เพราะกว่า 17 ชั่วโมงจากไทยถึงไอซ์แลนด์นี่ก็เพลียใช้ได้เลยค่ะ

สิ่งหนึ่งที่อยากบอกให้ทราบก่อนมาถึงที่นี่ก็คือเรื่อง การใช้เงินของที่ไอซ์แลนด์ ที่ไอซ์แลนด์นี้จะใช้เงิน ไอซ์แลนด์โครน (ISK) เท่านั้น ซึ่งถ้าหาแลกที่ไทยได้ก็เยี่ยมไปเลย ส่วนเราแลกเป็นยูโรไป กะว่าเผื่อใช้ระหว่างเปลี่ยนเครื่องและคิดว่าน่าจะมีที่แลกเงิน ISK ที่สนามบิน เลยถือแต่เงินยูโรไปทั้งหมด แต่ผิดคาด! ที่สนามบิน KEF ไม่มีร้านแลกเงินเลยแม้แต่ร้านเดียว พยายามเดินหาในห้างที่อยู่ใกล้โรงแรมก็ไม่มี เราเลยลองถามพนักงานที่โรงแรม เลยได้คำตอบว่า เราจะสามารถแลกเงินได้ที่ธนาคารเท่านั้น และวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ธนาคารปิดหมด… เราก็ ชิบหายละ เงินยูโรเต็มกระเป๋าแต่ใช้ไม่ได้จ้าาา แต่ประโยคต่อมาที่พนักงานบอกกับเราก็ทำให้เราใจชื้นขึ้นมา เพราะที่นี่เค้าใช้บัตรเครดิตใช้จ่ายกันเป็นเรื่องปกติ นั่นหมายความว่า ตลอดทั้งทริปนี้ แค่มีบัตรเครดิตเพียงใบเดียว (ถ้าวงเงินพออะนะ ฮ่าๆ) ก็สามารถรูดใช้ได้ทุกที่ทุกอย่าง เรายืนยันด้วยตัวเองเลยว่าตั้งแต่เข้าจนออกจากไอซ์แลนด์ เรายังไม่เห็นหน้าตาของเงิน ISK แม้แต่นิดเดียวเลยค่ะ Cashless Society ที่แท้จริงอยู่ที่ไอซ์แลนด์นี่เอง

อีกเรื่องนึงที่สำคัญมากเช่นกันหากคิดจะเดินทางคนเดียวในไอซ์แลนด์ก็คือต้องดาวน์โหลดแอปนี้ไว้เลยค่ะ Straeto เป็นแอปสำหรับ เช็ครอบรถบัส ที่ให้บริการทั้งในและนอกเมืองเรคยาวิก สามารถใส่บัตรเครดิตลงไปในแอปและกดจองรอบได้เลย เมื่อขึ้นรถปุ๊บ ก็แค่กด redeem ตั๋วและส่งให้คนขับดู เป็นอันเสร็จเรียบร้อย และนี่คือคีย์สำคัญที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของเรามีทั้งสะดวกและลำบากปนเปกันไป หุหุ

จากแผนที่วางมาตั้งแต่เมืองไทย เราจะเดินทางเที่ยวเฉพาะ South coast แวะค้างที่เมือง Vik และ Höfn และกลับมาที่ Reykjavik อีกครั้ง ทั้งหมดเดินทางโดยรถบัสแบบ hop-on hop-off แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อเราได้ลองเช็ครอบจากแอปก็พบว่า เราไม่สามารถเดินทางไปเมือง Vik โดยรถบัสได้ตามเวลาที่เราคิดไว้ในวันรุ่งขึ้นได้ พนักงานโรงแรมคนดีคนเดิมจึงได้ช่วยหา day tour ที่ออกจากเรคยาวิกไปวิกและจัดการจองให้เสร็จสรรพ ในราคา 3,500+ บาท ซึ่งก็ทำให้ต้องตื่นเช้าขึ้นอีกนิดเพื่อไปขึ้นรถบัสไปยังจุดนัดพบของทัวร์นี้ให้ทันเวลา…

Day 2: Let’s go to Vik

ด้วยความที่เหนื่อยมาก ๆ จากการเดินทาง ก็ทำให้หลับไปตั้งแต่เย็นและตื่นเช้ามาก ๆ ได้ เก็บข้าวของอีกครั้งเพื่อเดินทางต่อ ระหว่างที่นั่งรอเวลาอาหารเช้า ก็นั่งเช็ครอบรถบัสอีกครั้ง ดูไปดูมา ชิบหายอีกแล้ว! เพราะรอบรถบัสที่เราจะขึ้นรอบแรกจากจุดที่ใกล้โรงแรม มันดันไปถึงจุดนัด day tour ไม่ทัน เอาละไง รูดดูแอปเช็คอยู่หลายรอบยังไงก็ไม่ทัน เลยเดินไปถามพนักงานโรงแรมคนที่สอง เล่าทุกสิ่งให้ฟัง ปรากฏว่าเค้ากำลังจะออกจากกะและจะกลับเข้าเมืองพอดี และสามารถไปแวะส่งเราที่ใกล้ ๆ จุดนัดพบนั้นได้ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย แต่ก็เป็นภูเขาลูกเล็ก ๆ เท่านั้น ยังมีอีกหลายลูกเลยจ้าในทริปนี้ ฮ่า ๆ

การเดินทางท่องเที่ยวที่ไอซ์แลนด์ด้วยการซื้อ day tour นั้นค่อนข้างเป็นที่นิยมทีเดียว เพราะไม่ต้องขับรถเองให้เสี่ยงอันตรายอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวน เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหิมะ แถมยังมีไกด์คอยอธิบายข้อมูลตามจุดต่าง ๆ อีกด้วย แต่ก็มีข้อจำกัดที่น่าจะพอเดาได้ก็คือเรื่องเวลาและสถานที่ที่เราอยากไป แต่โปรแกรมทัวร์ส่วนมากก็จะใส่ที่เที่ยวที่เป็นไฮไลต์ไว้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็สามารถเลือกได้ตามความสะดวกเลยค่ะ โดยทัวร์ที่เราเลือกนี้จะเดินทางออกจากเรคยาวิกแล้วแวะเที่ยวตามจุดต่าง ๆ จนถึงวิกแล้วก็เดินทางกลับเข้าสู่เรคยาวิกในตอนเย็น แต่เราจะนอนค้างที่วิกต่อ ก็ให้แจ้งกับคนขับให้ช่วยไปส่งเราที่โรงแรมในวิกให้หน่อย ก็เป็นอันเรียบร้อยค่ะ

Seljalandsfoss (เซลยาลันฟอสส์)

น้ำตกหลายแห่ง (หรือน่าจะเกือบทั้งหมด) ในไอซ์แลนด์นั้นเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง (glacier) จากตอนกลางของเกาะที่มีลักษณะเป็นที่สูง (Highland) ไหลลงมาทางใต้ของเกาะเป็นแม่น้ำและออกสู่ทะเล ซึ่งรวมถึงน้ำตกเซลยาลันฟอสส์นี้ด้วย

Reynisfjara Mountain & Black Sand Beach

เป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตที่ยังไงก็ต้องมา เพราะมันคือหาดทรายสีดำ ที่มีหน้าผาหินเป็นแท่ง ๆ และกลุ่มแท่งหิน Reynisdrangar ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับชายฝั่ง ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ Frozen 2 เพิ่งเข้าฉายไปไม่กี่วีคก่อนหน้า เราเลยตื่นเต้นที่จะมาที่หาดนี้มาก เพราะมันชัดเจนมาก ๆ ว่าหาดนี้คือต้นแบบของฉากที่เอลซ่าอยู่ที่หาดทรายสีดำและวิ่งลงไปในทะเล มันคือใช่เลย!!!! ซึ่งนอกจากวิวที่ว่ามาแล้ว จุดนี้ก็ยังมีร้านอาหารด้วย สามารถแวะพักแล้วค่อยออกเดินทางต่อได้ หรือถ้าคนเยอะก็สามารถขับรถต่อไปอีกนิดก็จะถึงวิกในเวลาประมาณ 15 นาที

Vik

เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ เป็นจุดที่มีคนมาอาศัยอยู่เนื่องจากเป็นบริเวณที่อบอุ่นที่สุด แต่ก็ฝนตกเยอะสุดด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าตลอด 3 วัน 2 คืนที่เราอยู่ที่นี่ ฝนก็ตกทุกวันเลยจ้า ฟ้ามืดทึบเกือบทั้งวัน มีเพียงช่วง 10 โมงถึงบ่ายสามเท่านั้นที่ฟ้าสว่าง ที่หมู่บ้านนี้นอกจากเป็นชุมชนของคนท้องถิ่นแล้วก็ยังเป็นเหมือนจุดแวะพักของนักเดินทางทั้งหลายด้วยเช่นกัน มีทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์อาหาร ร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน จุดจอดรถบัส และโรงแรมหลายแห่ง ซึ่งโรงแรมที่เราพักก็อยู่ในบริเวณที่เดินถึงสิ่งเหล่านี้ได้หมด นั่นก็คือ Hotel Kria คืนละประมาณ 6,500 บาท

และวันที่เรามาถึงเป็นวันเกิดตัวเองพอดี เลยลองถามพนักงานที่ reception ว่าพอจะมี complimentary ให้ในวันเกิดบ้างมั้ย ก็ตลกตัวเองในใจเหมือนกันที่ไปขอเค้าแบบนั้น แต่ก็คิดอีกทางว่า โตแล้ว อยากได้อะไรก็บอกไปเลย ฮ่า ๆ ซึ่งเค้าก็ตอบทำนองว่าขอโทษด้วยน้า ทางเราไม่มีบริการนี้ เราก็ไม่ได้ว่าหรือวีนอะไร แค่ถามไปเผื่อได้ แล้วก็เดินขึ้นห้อง เก็บของ แล้วก็ออกมาเดินเล่น ก่อนออกไปเราก็ไปคุยกับ reception อีกรอบ เพื่อถามว่าแถวนี้มีอะไรให้เดินเล่นรอบ ๆ นี้บ้าง ทีนี้เค้าก็เลยถามเราว่าจะกินมื้อเย็นที่ไหน ถ้ากินที่โรงแรมละก็ เราจะมีของหวานเป็น complimentary ให้ ซึ่งก็คือเค้กน่ารัก ๆ ตามรูป ที่มาเสิร์ฟพร้อมกับพนักงานเดินร้องเพลง Happy Birthday ออกมา เราแฮปปี้มากกกกก แต่ในใจเราคือเขินมาก เพราะมาคนเดียวและเบื้องหลังคือเราไปขอเค้าด้วย ฮ่า ๆ : D

พรุ่งนี้เรามีแผนจะไปเดินข้ามเขา แต่พยากรณ์อากาศบอกว่ามีฝนเกือบทั้งวัน จะเป็นยังไง ไป อ่านต่อ กันจ้า


Instagram @sologirloutthere | Facebook @sologirloutthere