2019Fr_OT: โอดาวาระ+โตเกียว ได้เที่ยวทั้งธรรมชาติและในเมืองแบบชิค ๆ

ทริปนี้เป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งที่ 5 ของเราด้วยความต้องการที่หลากหลาย เพราะนี่เป็นการนัดแก๊งเพื่อนสมัยมัธยมไปเที่ยวด้วยกัน ซึ่งแต่ละคนมีประสบการณ์กับประเทศนี้ในระดับที่ต่างกัน ทั้งแบบที่ไม่เคยไปเลย เคยไปมาสองครั้ง และสี่ครั้งอย่างเรา ความรับผิดชอบเรื่องการจัดทริปจึงตกมาอยู่ที่เราอย่างไม่ต้องสงสัย นี่จึงเป็นการฝึกการบริหารความต้องการที่หลากหลายให้ลงตัว และเราว่าทริปนี้ก็ทำได้ดีนะ : )

การวางแผนการเดินทางครั้งนี้จึงต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากๆ คือต้องนึกภาพตอนเราอยากไปญี่ปุ่นครั้งแรก เราก็คงอยากไปที่ๆ มันคือสัญลักษณ์ของการไปญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันเราก็มีที่ใหม่ๆ ที่เราอยากไปด้วย จุดสำคัญคือทุกคนต้องเข้าใจความต้องการของกันและกัน และสนองความต้องการแต่ละคนให้สมดุล ไม่งั้นก็พังค่ะ!

Day 1: พัง!

บททดสอบจิตใจบทแรกของการจัดทริปญี่ปุ่นครั้งนี้คือ รถไฟ แม้จะมาเป็นครั้งที่ห้าแล้ว ก็ยังลงผิดสถานี แต่นั่นก็ไม่ทำให้เสียเวลาเท่ากับการเดินหาล็อกเกอร์ เนื่องจาก 2 คืนแรกเราจะไปค้างกันที่โอดาวาระ พวกเราจึงวางแผนกันว่าจะฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่โตเกียว สถานีชินจูกุ (สามารถฝากได้ 3 วัน) แล้วเอาสัมภาระไปแค่สำหรับค้าง 2 คืน จะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าใบใหญ่ให้เกะกะ ความวุ่นวายก็คือการหาตู้ล็อกเกอร์ช่องใหญ่ที่ว่าง เพราะทุกโซนมันเต็มหมดทุกตู้จนถอดใจละ คิดว่าจะลากไปโอดาวาระด้วยก็ได้ แต่เหมือนฟ้าเป็นใจ สุดท้ายก็เจอตู้ใหญ่ที่ว่างพอสำหรับเราสามคน เป็นอันจบบททดสอบแรก เสียเวลาไปครึ่งวัน

เมื่อฝากกระเป๋าเสร็จ ก็เริ่มออกเดินทางไปยังโอดาวาระด้วยรถไฟ ซึ่งก็ไม่ง่ายอีก เพราะจุดขายตั๋วรถไฟไปโอดาวาระนั้นมันอยู่คนละฝั่งสถานีชินจูกุเลย พวกเราจึงเดินถามทางไปเรื่อยๆ จนเจอเคาน์เตอร์ Odakyu Romancecar ในที่สุด เราซื้อตั๋ว Romancecar แบบพาส 3 วัน จากนั้นก็กระโดดขึ้นรถไฟและหลับยาว หมดไปแล้วค่อนวัน…

กว่าจะถึงโอดาวาระและเดินมาถึงเรียวกัง (Hinode Ryokan) ที่จองไว้ได้ก็ปาเข้าไปสี่โมงกว่า แถมด้วยฝนที่ตกลงมาเบาๆ ให้เราได้ทำใจไปด้วยว่า หาข้าวเย็นกินแล้วนอนเก็บแรงไว้สำหรับพรุ่งนี้เถอะจ้ะเธอจ๋า

Day 2: ฝนตก!

แผนที่คิดไว้ก่อนว่าวันแรกจะไป Hakone shrine, Owakudani แล้ววันที่ 2 ก็ไปขึ้นฟูจิชั้น 5 และเทศกาลฟูจิชิบะซากุระ เป็นอันต้องรื้อใหม่หมด เพราะวันที่สองนี้เราตื่นมาก็เจอฝนตกจั้กๆ แล้ว พยากรณ์อากาศจากแอปก็บอกว่าฝนตก 100% จนถึงบ่ายสาม เห็นแล้วก็ท้อใจ ประกอบกับวันนั้นมีข่าวออกว่ามีหลายแหล่งท่องเที่ยวปิดเนื่องจากฝนตกหนักมาก แล้วเราจะไปไหนกันได้บ้างล่ะ อะไรๆ ที่คิดว่าจะทำได้ก็เป็นอันต้องทำใจตัดออกไปเยอะมาก และเริ่มวางแผนกันใหม่ จนสรุปได้ว่าจะเริ่มไปที่ใกล้ๆ กันก่อน คือ ปราสาทโอดาวาระ (แม้จะอยากนอนต่อก็ตาม เพราะอากาศเย็นสบายดีเหลือเกิน ฮ่าๆ) เพื่อฆ่าเวลาและรอว่าหลังบ่ายสามฝนจะหยุดตกจริงๆ

พอถึงหลังบ่ายสาม ฝนก็หยุดตกจริงๆ จ้ะ เราจึงได้ออกเดินทางด้วยรถบัส (ใช้ตั๋วพาส 3 วัน) ขึ้นไปยัง ทะเลสาบอาชิ และ Hakone shrine ไปถึงก็ประมาณสี่โมงนิดๆ ที่นี่สงบมาก อากาศชื้นๆ เย็นๆ หลังฝนตกมันดีมากจริงๆ ค่ะ ใช้เวลาเดินเล่นถ่ายรูปจนถึงหกโมงกว่า แวะหาอะไรกินใน Lawson แล้วก็นั่งรถบัสกลับรอบก่อนสุดท้ายประมาณทุ่มกว่าๆ ค่ะ

อันนี้เป็นชอตที่ไอหมอกกำลังลอยข้ามทะเลสาบอาชิมาทางพวกเราพอดีค่ะ : )

ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวอยากมาถ่ายรูปตรงนี้เยอะแค่ไหน ทุกคนก็ต่อแถวรออย่างเป็นระเบียบ ส่วนพวกเราสามคนใช้วิธีการต่อแถววนเอาหลายๆ รอบ เพื่อให้ได้รูปที่แต่ละคนพอใจ เพราะถ้าถ่ายไปด้วยเช็ครูปไปด้วยจนครบทุกคนรอบเดียว จะเสียเวลานาน เกรงใจคนข้างหลังค่ะ ; )

สงบมากกกก

Day 3: Moomin Day

วันนี้แดดจ้าาา ราวกับเมื่อวานฝนไม่ได้ตกแม้แต่หยดเดียว แต่วันนี้เราต้องเดินทางออกจากโอดาวาระกลับเข้าโตเกียวอีกครั้งเพื่อไป Moomin Valley Park ที่เพิ่งเปิดได้ไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่เราจะไป เราก็จองตั๋วล่วงหน้าเรียบร้อย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าค่อนข้างคาดหวังมากทีเดียว เพราะเราตั้งตารอมาตั้งแต่เค้าประกาศว่าจะมีการสร้างแล้ว

Metsa Village

สิ่งที่ทำให้อึ้งเลยคือ ขนาด ที่กว้างใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก เพราะที่นี่ประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ Metsa Village จำลองบรรยากาศการพักผ่อนสไตล์สแกนดิเนเวียมาไว้ในโซนแรกที่เดินเข้ามาจากทางเข้า ถัดจากนั้นจะเข้าสู่ส่วนของ Moomin Valley Park ที่มีการสร้างสภาพแวดล้อมตามเรื่องราวในการ์ตูนเลย แต่ ณ วันที่เราไปก็แอบผิดหวังหน่อยๆ กับต้นไม้ ดอกไม้ที่เหมือนจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ ทำให้บรรยากาศมันดูแห้งๆ หงอยๆ แต่นิทรรศการด้านในกลับทำได้โอเคเลย เป็นการเล่าประวัติของ Tove Jansson ผู้แต่ง พร้อมภาพร่างแรกๆ ของมูมินจนถึงร่างปัจจุบัน มีความน่ารัก และมีอะไรให้เล่นกรุบกริบพอให้มีสีสันตามเรื่องราวของมูมิน แต่กลับไม่ค่อยมีการโปรโมตส่วนนี้ เน้นแต่โซนที่ต้องเสียค่าเข้าเพิ่ม เช่น บ้านสีฟ้าของมูมิน เป็นต้น แต่ถึงแม้จะไม่พีคมาก เราก็เดินจนครบ จนถึงเวลาปิดของสวนพอดีตอนสามทุ่ม แฮ่ๆ

Day 4: Urban Lifestyle

หากใครชอบท่องเที่ยวในเมืองเป็นหลัก เราขอแนะนำโรงแรมนี้เลยค่ะ Shibuya Excel Hotel อยู่ใกล้ปากประตูสถานีชิบุย่าสุดๆ ห้องพักดี คุ้มราคาค่ะ และที่สำคัญคือติดย่านชอปปิ้ง เราสามารถชอปจนร้านปิด ชอปแล้วเอาไปเก็บที่ห้องแล้วเดินลงมาสำรวจใหม่ยังได้ จุดนี้เพื่อนสายชอปของเราปลื้มมาก และอาหารเช้าก็ดีค่ะ แต่วันแรกเราไม่ได้ทาน เพราะเราจะไปทานกันที่ Starbucks Roastery Reserve

จริงๆ วันนี้พวกเราตั้งใจจะออกเช้ากว่าทุกวันอยู่แล้ว ทำให้มาถึงที่ Starbucks Roastery Reserve ประมาณเก้าโมงกว่า ทำให้ไม่ต้องรอคิวยาวเหยียดแบบที่คนอื่นๆ เค้าบ่นกัน แต่ก็มีคนในร้านเยอะพอสมควรแล้ว ภายในร้านจะมี 4 ชั้น แบ่งง่ายๆ เป็น กาแฟ (Starbucks Reserve), ชา (Teavana), แอลกอฮอล์ (Arriviamo) และ Amu Inspiration Lounge ซึ่งถ้าอยากจะดื่มเครื่องดื่มแบบไหนก็ต้องไปสั่งที่หน้าบาร์ในชั้นนั้นๆ และไปรับด้วยตัวเองค่ะ ก็อาจจะดูวุ่นวายนิดนึง เพราะอาจจะต้องประคองแก้วขึ้น-ลงบันไดเอง พร้อมกับหลบหลีกผู้คนที่แน่นอนว่าต้องได้รูปกลับไปลงไอจีให้คุ้มกับการมาครั้งนี้ โดยรวมๆ แล้วบรรยากาศในร้านดีมากๆ (ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะ) และของที่ระลึกหลายชิ้นที่เป็น limited edition เฉพาะสาขานี้ก็น่าซื้อเก็บมากๆ ค่ะ 

หลังจากที่เพื่อนเราพยายามดื่ม Nagameguro Espresso Martini จนเริ่มมึนแล้ว ก็ได้เวลาพาเพื่อนออกจากร้าน เพื่อไปยังที่หมายต่อไปคือ teamLab ซึ่งถ้าไม่ใช่สายอาร์ตก็คงจะตั้งคำถามเหมือนเพื่อนเราว่า มาที่นี่ทำไม? ซึ่งเราก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน แต่ถามความสมัครใจแต่แรกแล้ว ทุกคนไม่ขัด เราก็จัดไป ฮ่าๆ

ถึงวินาทีที่นั่งเขียนรีวิวนี้ เราก็ยังหาเหตุผลของการไป teamLab ที่หนักแน่นมากกว่าคำว่า ประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ได้ ก็แค่อยากให้ลองไปสัมผัสดู แต่ไอ้เราก็ดันไปมิวเซียมมาเยอะ เทคนิคบางอย่างมันก็ไม่ว้าวสำหรับเราไปซะละ แฮ่ๆ

Day 5: Shop ’til die

วันสุดท้ายเป็นวันสบายๆ แต่ร้อนสุดในทั้งห้าวันที่อยู่ญี่ปุ่น (24-25 องศา) เริ่มช่วงเช้าด้วยการไปศาลเจ้าเมจิเพื่อขอพร จากนั้นก็ปล่อยตัวปล่อยใจอยู่แถวๆ Harajuku และ Omotesando สำหรับเราแล้ว ร้านที่ใช้เวลามากที่สุดก็คือ Kiddy Land รองลงมาเป็น Line Friends Store เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ใดๆ ไม่เน้น ขอพาลูกๆ กลับบ้านเป็นพอ : D

จากที่วางแผนก่อนไปอย่างดิบดี พูดเลยว่าทริปนี้ตัด destination ต่างๆ ออกไปเกือบครึ่ง แต่เราไม่เสียดายเลย เรากลับค้นพบว่าเราได้ใช้เวลากับที่ใดที่หนึ่งอย่างค่อนข้างคุ้มค่าจริงๆ ได้เดินช้าลง ได้เห็นอะไรละเอียดขึ้น บางทีก็รู้สึกขอบคุณฝนที่ตกเหมือนกัน เพราะไม่งั้นเราคงไม่ได้เดินสำรวจเมืองโอดาวาระจริงๆ มุ่งแต่จะไปฟูจิหรือโอวาคุดานิเท่านั้น สุดท้าย คงขอบคุณเพื่อนร่วมทางทั้งสองคนที่เข้าใจความงอแงในตัวของแต่ละคน และช่วยกันประคองทริปนี้ให้จบได้อย่างสวยงาม

แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะคะ : )


Instagram @sologirloutthere | Facebook @sologirloutthere