Day 3: Hiking in the rain
เช้าวันที่สามที่อากาศไม่สดใสเอาซะเลย ท้องฟ้ามืดทึบและมีฝนตกเบา ๆ แต่แผนของเราวันนี้คือจะออกไปเดินข้ามเขาตามคำชี้ชวนของพนักงาน reception เมื่อวาน ซึ่งถ้าเป็นวันที่อากาศปกติก็น่าจะใช้เวลาไป-กลับประมาณ 2-3 ชั่วโมง แต่เมื่อลองเช็คอากาศคร่าว ๆ แล้วว่าจะมีฝนตกช่วงเช้า หยุดตกช่วงกลางวัน และจะเริ่มตกอีกทีช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอุปสรรคกับกิจกรรมในวันนี้ เสื้อผ้าวันนี้ก็ต้องรัดกุม อุ่น และกันฝน แซนด์วิชพร้อมกับน้ำเปล่า 1 ขวด มือถือแบตเต็มและกล้องกันน้ำ พร้อมลุย!




จากฝั่งวิกเราก็มีหาดทรายดำด้วยเช่นกัน เราจึงเดินออกจากโรงแรมไปสำรวจที่หาดก่อน ระหว่างทางก่อนถึงหาดก็เจอกับอนุสรณ์แฝดชื่อว่า “Voyage” เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไอซ์แลนด์กับอังกฤษ เป็นรูปคนโน้มตัวและหันหน้าออกทะเล ที่ว่าเป็นอนุสรณ์แฝดก็เพราะที่อังกฤษก็มีอนุสรณ์แบบเดียวกันตั้งอยู่ที่ Kingston upon Hull และโน้มตัวหันหน้าออกทะเลเช่นกัน มีความหมายว่าถึงแม้จะมีผืนน้ำกั้นระหว่างทั้งสองประเทศ แต่ความสัมพันธ์ทางการค้าของทั้งสองดินแดนก็จะยังเหนียวแน่นเสมอ

และเมื่อมองตามอนุสรณ์แฝดออกไปทางทะเลก็จะเจอกับหาดทรายสีดำอันกว้างใหญ่ สงบ เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวมากวนใจ เราสามารถมองเห็นกลุ่มแท่งหิน Reynisdrangar ที่เราไปมาเมื่อวานได้จากฝั่งนี้เช่นกัน

จากหาดนี้ เราจะเดินขึ้นเขา Reynisfjara เพื่อจะข้ามไปดูวิวฝั่งเมื่อวานในมุมสูง ซึ่งตอนแรกก็คิดไม่ออกเลยว่าแล้วจะขึ้นไหวมั้ยวะ มองจากข้างล่างคือมันสูงมากกกกกก ก็คิดว่าจะเดินกลับแล้วอะแหละ แต่พอเดินเข้าไปใกล้ตีนเขามากขึ้นก็เริ่มเห็นทางขึ้นซึ่งมันเป็นทางที่เดินได้ไม่ยาก ก็เลยตัดสินใจ เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน เวลานั้นฝนก็ตกเบา ๆ เป็นละออง ๆ เท่านั้น

เส้นเขียว = แนวขอบภูเขา
เส้นแดง = เส้นทางเดินขาไป
เส้นฟ้า = เส้นทางเดินขากลับ


นับได้ว่านี่เป็นการเดินขึ้นเขาโดยสมัครใจครั้งแรกในชีวิต ก่อนหน้านี้ก็มีบ้างที่ต้องเดินขึ้นเขาต่าง ๆ ด้วยความจำเป็น ซึ่งก็ไม่ชอบด้วยเหตุผลหลายอย่าง ร้อน เหงื่อออก เหนื่อย แถมขึ้นไปแล้วก็ต้องเหนื่อยเดินลงอีก แต่การขึ้นเขาครั้งนี้อากาศเย็น แถมเดินไม่ยาก ก็เลยอยากลองซักที จึงทำให้ค้นพบและเข้าใจความคลั่งไคล้ของคนที่ชอบเดินเขาปีนเขา เวลาที่เรามองทางที่เราเดินผ่านมามันคือความสำเร็จที่เราฝ่าอุปสรรคมาได้ เป็นเหมือนแรงผลัก และเมื่อมองไปข้างหน้าหรือมองขึ้นไป มันเป็นเหมือนความหวังที่คอยจูงมือเราให้เดินต่อไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางที่รู้สึกเหนื่อยก็จะมีความคิดพวกนี้เกิดขึ้นสลับกันไป





พอเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ฝนก็เริ่มหนาขึ้นนิดนึงและคิดว่าถ้าถึงยอดเขาแล้วก็จะลงละ แต่พอขึ้นไปถึงก็เจอกับที่ราบกว้างสุดสายตาให้เดินต่อได้อีก และคิดว่าที่เห็นสุดสายตานั้นอาจจะเป็นริมเขาอีกด้านหนึ่งก็ได้ แต่ยิ่งเดินฝนก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังมองเห็นทางอยู่ และมีคนเดินสวนมาคนนึง ก็คิดว่าคงอีกไม่ไกล แต่พอเดินไปอีกซักพัก เราเริ่มเห็นมวลฝนลอยอยู่ข้างหน้าไม่ไกลมากและเริ่มปกคลุมจนทำให้ทัศนวิสัยเริ่มไม่ดี เราเลยหันหลังกลับทันทีแล้วเดินอย่างเร็วที่สุดเพื่อหนีฝน (ซึ่งถ้ามันเป็นพายุฝนก็คงหนีไม่ทัน)
กว่าจะเดินกลับลงมาถึงโรงแรมก็น่าจะร่วมชั่วโมงได้ ทั้งตัวเปียกโชกยกเว้นท่อนบนเพราะใส่แจ็คเก็ตกันน้ำ ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้า ที่ก่อนหน้านี้ช่วยให้อุ่น ก็เปียกชุ่มไปหมด มองย้อนกลับไปมันก็เสี่ยงอันตรายมากทีเดียว เพราะเราเดินขึ้นไปคนเดียว ตอนนั้นก็คิดว่าหากเกิดเหตุอะไรขึ้นมาจริง ๆ ละก็ จะมีใครหาเราเจอมั้ยวะ เลยต้องประคองร่างกายและสติเดินกลับมาให้ถึงโรงแรมให้ได้ เป็นประสบการณ์ที่จะไม่มีวันลืมเลย



Day 4: Bus to Höfn
เช้าวันที่สี่แล้ว แต่อากาศก็ยังคงแย่เหมือนเดิม พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนตกตั้งแต่ช่วง 11 โมง เราเลยวางแผนว่าจะออกจากโรงแรมก่อนที่ฝนจะตก และไปนั่งรอรถบัสที่ร้านสะดวกซื้อในจุดพักรถ เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Höfn ตอนสี่โมงเย็น นี่คือแผนที่คิดไว้…
หลังจากพบเจอความไม่แน่นอนมากมายในหลายวันที่ผ่านมา ช่วงนั่งว่าง ๆ ก็เลยลองเช็ครอบรถบัสของพรุ่งนี้ดูอีกที เพราะเราได้จอง day tour เพื่อไปดูถ้ำน้ำแข็งไว้แถว ๆ Diamond Beach ปรากฏว่าสิ่งที่คิดไว้นั้นต้องพังอีกครั้ง ฮือออออ เพราะมันไม่มีรถบัสจาก Höfn ไป Diamond Beach ในช่วงเช้าตรู่เลย ทั้งบ่ายวันนั้นก็เลยวุ่นวายอยู่กับการหาแผนใหม่
การนั่งรถบัสในบ่ายวันนี้จึงถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ใช้บริการรถบัสประจำทางของไอซ์แลนด์จริงๆ ทำให้ได้รู้ระบบการเดินรถของที่นี่ว่ามันไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่เคยเข้าใจก่อนมา

จากภาพ รถบัสที่วิ่งไป-กลับระหว่าง Vik – Höfn จะมีเพียงคันเดียว และจะวิ่งแค่รูทนี้เท่านั้น ซึ่งถ้าต้องการเดินทางจาก Reykjavik ไป Höfn ก็จะต้องมาเปลี่ยนรถที่ Vik และรถก็จะวิ่งกลับไปเรคยาวิกเหมือนเดิม ซึ่งจะจอดรับ-ส่งตามจุดสำคัญ เพราะฉะนั้นถ้าพลาดรอบสี่โมงเย็นนี้ไป ก็คือต้องหาโรงแรมค้างที่วิกอีกคืน ที่เรารู้ว่ามันมีคันเดียววิ่งเส้นนี้ก็เพราะเราเจอคนขับคนเดิมในวันขากลับด้วย ฮ่า ๆ และทั้งคันมีผู้โดยสารเพียงสองคนเท่านั้น ก็แทบจะเหมือนได้นั่งรถส่วนตัวเลยแหละ แถมคุณคนขับเค้าก็เห็นผู้หญิงเอเชียตัวเปี๊ยกมาคนเดียว จะให้จอดส่งที่ท่ารถเมือง Höfn แล้วเดินลากกะเป๋าไปที่พักเองก็ใช่เรื่อง เค้าเลยอาสาขับมาส่งถึงที่ รวมแล้วใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
Day 5: Höfn
หลังจากผ่านการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อยกับอากาศแย่ ๆ มาหลายวัน วันนี้เป็นวันแรกที่แดดออกจ้าาาา ฟ้าใส ไม่มีฝน แต่อากาศก็ยังหนาวโหดเช่นเดิม ตลอดเวลาช่วงเช้าที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นก็เลยรีบจัดการจองทัวร์ใหม่ หลังจากที่ยกเลิกทัวร์ถ้ำน้ำแข็งที่ไปวันนี้ไม่ได้แทน เสร็จสรรพก็ออกไปเดินเล่นดูเมืองเล็ก ๆ นี้ซักหน่อย

โฮฟ เป็นเมืองท่าที่สำคัญ คนท้องถิ่นส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเลด้วย จากที่พักของเรา Höfn Guesthouse สามารถเดินไปถึงท่าเรือได้โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที มีร้านอาหารเล็ก ๆ หลายร้าน ส่วนร้านที่เราไปกินคือร้าน Hafnarbuðin หน้าตาก็จะประมาณนี้


หลังจากเติมพลังเรียบร้อย เราก็ออกมาเดินเลียบชายฝั่งทะเลไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าแดดจะออกแต่มันก็ไม่ได้ชิลขนาดนั้น เพราะลมทะเลบวกกับอากาศเย็นก็ทำให้การเดินเล่นทรมานอยู่ไม่น้อย

ขอสรุปให้ตรงนี้เลยว่า ถ้าไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือก็ไม่จำเป็นต้องมาถึงโฮฟก็ได้ แต่ที่เราคิดในตอนแรกว่าจะมาค้างที่โฮฟเพราะมันสามารถเดินทางไปยัง Jökulsárlón ได้ใกล้กว่าเดินทางออกจาก Vik แต่แผนก็พังเพราะไม่มีรถบัสรอบเช้าออกจากโฮฟนั่นเอง ส่วนแผนใหม่จะเป็นยังไง อ่านต่อ ตอน 3 เลยจ้า
Instagram @sologirloutthere | Facebook @sologirloutthere