เคยมีมั้ย? สถานที่ที่เราอยากกลับไปอีกครั้ง… เรามี เมื่อสามปีก่อนอยากไปเมืองนี้เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แต่คราวนี้ มาจากเสียงเรียกร้องในใจเราเองโคเปนเฮเกนจ๋า ฉันกลับมาแล้วววว…
หลังจากที่กลับมาจากทริปนั้นใหม่ๆ ก็บอกตัวเองไว้เลย ฉันจะมาอีกครั้งแต่ขอเป็นฤดูร้อนนะ เพราะร่างพังมาก เข่าเจ็บ ไหล่เจ็บในระหว่างที่เดินทาง แต่พอมาวิเคราะห์ตัวเองดีๆ ตอนนั้นอะไรๆ ก็ไม่พร้อม ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า คือไม่รู้จักสภาพอากาศที่นั่นเลย แต่เราชอบบรรยากาศคริสต์มาสมาก ก็เลยคิดว่าคราวนี้จะเตรียมตัวไปอย่างดี ยังไงต้องรอด
การเลือกจุดหมายปลายทางคราวนี้จึงมีโคเปนเฮเกนเป็นตัวตั้ง อยากอยู่ซัก 3 วัน แล้วค่อยๆ ดูจุดหมายอื่นรอบๆ จึงลงเอยที่
- Finland เพราะ Santa Claus, Marimekko และ Moomin
- Sweden เพราะ IKEA
- Denmark เพราะอยากเก็บตกโคเปนเฮเกนและ LEGO House
รอบนี้เผื่อเวลาเดินทางมากขึ้น และต้องวางแผนการเงินดีๆ หลังจากจองไปจองมา budget บานมาก เพราะคราวนี้เดินทางเยอะและไกล เลือกไปแต่ที่ๆ อยากไปดูจริงๆ และเตรียมตัวไปเสียทรัพย์ด้วย : D
วันที่เดินทาง: 25 Nov – 5 Dec 2017
Day 1: Rovaniemi, The Capital of Lapland
เมื่อหลายปีก่อนเคยอ่านเจอบทความในหนังสือ Monocle ที่เขียนถึงอาชีพ Santa Claus ที่อยู่ Lapland จำรายละเอียดได้ลางเลือนมาก แต่จุดเริ่มต้นของการนึกขึ้นได้ว่าอยากเจอ Santa Claus มาจากตรงนั้นแหละ ก็เลยหาข้อมูลและปักหมุดไว้ที่ Santa Claus Village สถานที่แรกที่เมื่อเท้าแตะพื้นหิมะของเมือง Rovaniemi ก็นั่งรถบัสออกไปทันที
และนี่คือเมืองที่เหนือที่สุดที่เคยไปในชีวิต คิดไม่ออกว่าเมืองที่ปกคลุมด้วยหิมะมันจะเป็นยังไง หนาวแค่ไหน จะทนได้มั้ย ตอนออกมาจาก Airport ก็เย็นๆ เหมือนเปิดตู้เย็นช่องฟรีซ ซึ่งบรรยากาศรอบๆ ก็ไม่ต่างจากในช่องฟรีซหรอก คือทุกอย่างปกคลุมด้วยสีขาวจากหิมะ แม้แต่ท้องฟ้าก็เหมือนมีมวลเมฆหนาๆ ห่อหุ้มเมืองนี้ไว้ข้างบน ทำให้ถึงจะเป็นกลางวัน แสงก็ลอดผ่านมาน้อยมาก จึงไม่มีความอบอุ่นเจือปนในธรรมชาติขณะนั้นเลย ความใจดีอย่างที่สุดก็คือ ไม่มีลม เพราะถ้ามีลมเนี่ย คงไม่ต้องไปไหนละ
เมืองโรวาเนียมี ในความคิดเราก่อนมาถึงจริงนั้นว่างเปล่ามาก ก็เลยไม่คาดหวังอะไร จึงเริ่มทำความรู้จักไปพร้อมกันตอนเดินทางว่า ตัวเธอนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร จากสนามบินไปตัวเมืองก็แป๊บเดียว แต่มีครบทั้งห้าง รถเมล์ รถไฟ (ระหว่างเมือง) และสามารถเดินถึงกันได้หมด (ถ้าจะเดิน…อันนี้ยืนยัน) ความหนาแน่นของเมืองต่ำ ไปแรกๆ อาจจะนึกว่าเมืองนี้ไม่มีคน แต่จริงๆ เค้าแค่ไม่ออกมาเดินทรมานตัวเองข้างนอกกันต่างหาก…ก็เหมือนประเทศในตะวันออกกลางแหละ
เอาล่ะ ไปหมู่บ้านซานต้าฯ ซะที ซึ่งแสนสะดวกเพราะมีรถเมล์สาย 8 ตรงไปยัง Santa Claus Village เลย ซึ่งต้องรอตามรอบด้วยความอดทนท่ามกลางความเย็นแบบช่องฟรีซ ก่อนขึ้นรถก็ซื้อตั๋วแบบ Return ticket 7.2 Euro ตอนกลับก็นั่งสายเดิม ง่ายมาก
เวลาผ่านไปไม่ถึง 20 นาที เราก็มาถึง Santa Claus Village ซึ่งจะมีจุดจอด 2 จุด ให้ลงจุดที่ 2 ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง นั่นคือ Santa Claus Gift House & Arctic Circle Info จะมี Staff ที่แต่งตัวเป็น Elf คอยให้ข้อมูลเรา หยิบแผนที่จากตรงนี้ จากนั้นก็เดินทะลุอาคารออกมาข้างหลัง ไฮไลต์ของที่นี่คือต้องไปถ่ายรูปกับซานต้าก่อน (ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก เดินเดาๆ ตามๆ เค้าไป) ที่ Santa Clause Office คุณซานต้าจะรอเราอยู่บนชั้น 2 เราก็ไปต่อแถวเป็นบันไดวนขึ้นไป คิดว่าช่วงคริสต์มาสคนน่าจะมาต่อแถวยาวกว่านี้ พอเดินจนถึงหน้าห้องซานต้า จะมี Elf คอยทักทายและดูแลตอนเข้าไปถ่ายรูปกับซานต้า ที่สำคัญ เค้าไม่ให้ใช้กล้องส่วนตัวถ่ายจ้าา เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้รูปหรือไฟล์ ก็ต้องเสียเงินที่ทางออก และนี่คืองานแรกของอาชีพซานต้า
ถ้าตัดเรื่องธุรกิจออกไป ซานต้าที่เราได้มีเวลาไม่เกินสามนาทีนั่งข้างๆ และถ่ายรูป ก็ถือว่าทำได้ดีในส่วนของการเติมเต็มความรู้สึก เพราะเค้ายิ้มแย้ม ดูใจดี พูดคุย (อันนี้ไฮไลต์ ขอไม่เล่า) ดูอบอุ่น และกายภาพของจริงก็เหมือนในรูป เช่น ผิวพรรณ หนวด รูปร่าง เสื้อผ้า เป็นต้น จึงไม่ลังเลเลยที่จะเสียเงินจ่ายค่ารูปไป แม้จะชะงักนิดหน่อยตอนเห็นราคาก็ตาม ฮ่าๆ
เมื่อได้รูปคู่กับซานต้ามาไว้ในครอบครองแล้ว มาที่ไฮไลต์ที่สองก็คือ Arcitc Circle รายละเอียดเชิงภูมิศาสตร์ไปหาใน Google น่าจะครบถ้วนกว่า แต่ตรงนี้สำคัญเพราะมันเป็นเส้นแบ่งเขต Arctic ที่พาดผ่านหมู่บ้านนี้พอดี ก็ต้องมาถ่ายรูปเป็นหลักฐานไว้นิดนึง เผื่อว่าวันนึงจะได้ไปเก็บอีก 4 เส้นที่เหลือ ฮ่าๆ
ส่วนอื่นๆ ในหมู่บ้านและจุดใกล้เคียงก็มีกิจกรรมให้ทำเยอะ ทั้งนั่งรถลากเลื่อนกวางเรนเดียร์ (20 Euro) ฟาร์มหมาฮัสกี้ หรือจะเดินเล่นรอบๆ ก็เพลินดี จนเดินงงๆ มาถึง Santa Claus Main Post Office ก็พบอีกหนึ่งงานของอาชีพซานต้าก็คือ งานตอบจดหมายจ้าา
ในนี้จะมีทุกสรรพสิ่งที่จะสร้างเป็นจดหมายถึงซานต้าได้ หรือจะส่งไปหาคนที่คุณต้องการก็ได้ ตั้งแต่ Postcard แบบสำเร็จรูป อุปกรณ์ตกแต่ง แสตมป์ ซอง มีที่สำหรับนั่งเขียนจดหมาย และแน่นอน คนแน่นมาก ทางเราคำนวณค่าใช้จ่ายแล้วจึงได้แต่เดินวนจนออกมาถึงหน้าประตู เดินอ่านโปสเตอร์ต่างๆ เรื่อยเปื่อย ก็มาสะดุดที่อันนี้
การจะได้รับจดหมายจากซานต้าทุกปีนั้นต้องมีค่าใช้จ่าย ไม่ใช่ว่าเขียนไปเฉยๆ แล้วซานต้าจะตอบ จึงต้องมีการพรีออร์เดอร์จดหมายไว้ก่อนล่วงหน้าในราคา 7.9 Euro แล้วซานต้าสัญญาว่าจะรีบปั่นให้เสร็จทันส่งถึงคุณในวันคริสต์มาสแน่นอน
จบวันแรกด้วยอาหารเย็นที่ Hotel Cafe Koti ที่เราพัก หน้าตาอาหาร Nordic ก็จะประมาณนี้ ทุกมื้อต่อจากนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ แซนด์วิชที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์และผักเยอะๆ หลายชนิด อิ่มอร่อยสบายท้อง : )
Day 2: Live in Arctic
วันนี้มีเพียงจุดหมายเดียวคือ Arktikum Museum เราอยากเดินดูเมืองด้วย ก็เช็คจากใน Google Map ใช้เวลาเดิน 13 นาทีจากที่พัก ระหว่างทางก็มีหิมะตกเบาๆ ทุกอย่างรอบตัวสงบนิ่ง แข็ง เย็นยะเยือก
สิ่งที่ดึงดูดเราให้มาถึงที่นี่คือภาพโถงทางเดินยาวที่ด้านบนเป็นหลังคากระจก เมื่อเดินเข้ามาในส่วนจัดแสดงก็จะเห็นทางเดินทอดยาวไปเหมือนในรูป ที่ปลายโถงจะเป็นวิวแม่น้ำที่ตอนนี้เป็นน้ำแข็ง ในใจคิด..เรามาถึงละ ดูข้างในเสร็จแล้วจะออกไปถ่ายรูป…
เนื้อหาใน Arktikum Museum นั้นเริ่มเล่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษยุคน้ำแข็งตั้งแต่ยังไม่มีอะไรทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ ชั้นดิน พืชพรรณ สัตว์ป่า เรื่อยมาจนวิถีชีวิตของมนุษย์ในเขตขั้วโลกว่าเขากินอยู่ นุ่งห่ม ล่าสัตว์กันอย่างไร ข้างในทำดีมาก มี Interactive ให้เล่นเยอะ ถ้ามีโอกาสอยากให้แวะมากันนะ
มาถึงภาพถ่ายเจ้าปัญหาที่เราอยากได้ กว่าจะได้มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะโถงทางเดินที่เห็นจากด้านในนั้นมันคือส่วนที่แทรกตัวอยู่ในเนินเขา (ไม่รู้ใช่มั้ย) และทางออกก็ไม่เปิดให้ผ่าน จึงต้องเดินตามป้าย อ้อมตัวอาคารออกมาข้างนอกจนเหมือนห่างออกจากจุดหมายมาก ทำใจเผื่อไว้แล้วว่าไม่เจอก็ช่างมัน จนมาโผล่ที่แม่น้ำ จึงได้เห็นปลายหลังคากระจกมนๆ โผล่ออกมาจากเนินหิมะสีขาว โอ้โห จะไม่ยากขนาดนี้ถ้าประตูระเบียงไม่ล็อก
แต่การเดินอ้อม Arktikum Museum ก็เทียบความหนื่อยได้ไม่เท่ากับการเดินจากที่พักไปยังสถานีรถไฟเพื่อเดินทางออกจากโรวาเนียมีไปเฮลซิงกิของเราในคืนนี้ เพราะเป็นวันอาทิตย์และมืดแล้วจึงไม่มีรถเมล์วิ่ง คนที่โรงแรมยืนยันว่าต้องเดิน และสามารถเดินไปได้! เราจึงต้องเดินลากกระเป๋าเดินทางไปบนพื้นถนนสลับพื้นหิมะร่วม 2 กิโลเมตร ตอนนั้นมืดสนิทแล้วด้วย คุณพระ แขนแทบหลุด ดีที่เผื่อเวลาไว้เยอะมาก เลยยังพอมีเวลาให้หาอะไรกินก่อนขึ้นรถไฟแบบสบายๆ
Overnight Train ที่เราจองผ่าน VR นั้นดีกว่าที่คิดไว้มาก แม้ตัวชานชาลาจะไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าอะไร แต่รถไฟที่มานั้นยาวมากกกกกกก น่าจะประมาณ 20 โบกี้ได้ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง The Polar Express เลย เมื่อรถไฟมาถึง ผู้โดยสารก็ต้องลากกระเป๋าออกไปกลางหิมะอีกครั้งเพื่อไปหาโบกี้ที่จองไว้ ก็ไกลมากกกกกกกกทีเดียว
ภายในห้องที่เราจองไว้จะอยู่ชั้นสอง เป็นเตียง 2 ชั้น ก็จัดว่าคุ้มราคา 59 Euro ที่จ่ายไป มีห้องอาบน้ำและส้วมในตัวครบ ปลั๊กไฟ น้ำดื่ม สะอาด และเงียบดี ได้นอนเต็มอิ่มพร้อมลุยต่อที่เฮลซิงกิ