สำหรับเราการจะออกเดินทางซักทริปนึงมันต้องมีแรงบันดาลใจ เพื่อเป็นเป้าหมายกว้างๆ ให้เราได้ท้าทายตัวเอง ทริปนี้ก็เช่นกัน… ครอบครัวของฉันชอบเที่ยวมาก ไม่ว่าที่ไหนของประเทศไทย พ่อกับแม่พาฉันไปเกือบทุกที่แล้วตั้งแต่ฉันและน้องยังเด็กๆ (ยกเว้นทะเลภาคใต้ ด้วยเหตุผลว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบเที่ยวทางน้ำซักเท่าไหร่) เวลาผ่านไป โอกาสนำพาให้เราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศโอมาน ประเทศที่เราไม่เคยนึกไม่ออกว่าหน้าตามันเป็นยังไง ด้วยความเป็นประเทศตะวันออกกลาง ไม่มีอะไรที่เหมือนกับประเทศที่เราเคยอยู่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ทุกอย่างจึงแปลกใหม่และมหัศจรรย์ไปหมด โดยเฉพาะ ‘ทะเลทราย’ ก็เหมือนเด็กภูเขาที่ไม่เคยเห็นทะเลนั่นแหละ เมื่อได้ไปถึงจริงๆ ก็รู้สึกชอบมากแล้วก็มีความคิดขึ้นมาว่า อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นในสิ่งที่เราเห็นนี้ด้วยจัง ความคิดนี้จึงเก็บเป็น Wish list ในใจตลอดมาไม่เคยบอกใคร จนเมื่อโอกาสและเงินเก็บมีมากพอ ทริปนี้จึงเกิดขึ้น ตอนที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ เรามีรายได้และอิสระภาพมากพอที่จะไปในที่ๆ เราฝันอยากจะไปได้แล้ว ก็เริ่มออกท่องเที่ยวคนเดียว ครั้งแรกที่ออกเดินทางคนเดียวจริงๆ มันท้าทายจิตใจเรามาก แต่ตอนนี้เราค้นพบแล้วว่า สิ่งที่ท้าทายกว่าการไปเที่ยวคนเดียวคือ การพาพ่อแม่เที่ยวเอง นี่แหละ ท้าทายไปอีกขั้น เราเลยเริ่มต้นที่ประเทศที่เราคุ้นเคยก่อน คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เพราะเคยไปมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็อยู่แค่ในดูไบ)
แต่ละสถานที่ที่เราเลือกจะไปก็เลยมาจากหลายเหตุผลประกอบกันคือ ที่ที่เราอยากไปเห็น +ที่ที่อยากให้พ่อกับแม่ได้เห็น + และที่ที่ต้องไปเห็นเพื่อให้พ่อแม่ไปเล่าให้เพื่อนเค้าฟังได้ และมีเหตุผลอีกหลายข้อที่เลือกไปที่นี่นอกเหนือจากที่ว่ามาคือ
- ช่วงปลายปี 2016 สายการบิน FlyDubai เพิ่งเปิดเส้นทางมาลงที่ BKK จึงมีตั๋วโปรมากมาย ทางเราจึงรีบกดจองอย่างไม่รอช้า (ค่าตั๋ว 4 คน + ซื้อน้ำหนักกระเป๋า 1 คน ไป-กลับ รวมแล้ว 33,xxx บาท)
- UAE เป็นประเทศที่เดินทางง่าย Taxi มีมิเตอร์ (Taxi ที่โอมานไม่มีมิเตอร์) และมีความเจริญ สะดวกสบายมากพอสำหรับคนสูงอายุ เช่น ร้านอาหารดีๆ ถนนหนทาง ที่ชอปปิ้ง บรรยากาศต่างๆ เป็นต้น
- ยังมีอีกหลายที่ใน UAE ที่เรายังไม่เคยไป
จากที่เกริ่นมาทั้งหมด ทริปนี้ก็ได้เกิดขึ้น : )
Day 1
วันแรกเป็นการชมเมืองทั้งในดูไบและอาบูดาบี หลังจาก เช็คอิน เก็บข้าวของไว้ที่โรงแรม เราก็เช่ารถพร้อมคนขับจาก โรงแรม คิดราคาอยู่ที่ 700 AED พี่คนขับของเราเป็นชาวอินเดีย ที่สุภาพมาก เค้าแนะนำสถานที่และพาเราไปแบบไม่หงุดหงิดเลย เพราะบางที่เราก็เฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่มันเป็น ‘ที่ที่ต้องไป เห็นเพื่อให้พ่อแม่ไปเล่าให้เพื่อนเค้าฟังได้’ คือ Jumeirah Beach, Burj Al Arab Hotel, The Palm-Atlantis Hotel จากนั้นเค้าก็ขับพาชมวิวไปตามโค้งของ The Palm Jumeirah จนสุดโค้ง ก็เริ่มเบื่อละ เพราะมันมีแต่โรงแรม รีสอร์ท ทั้งที่สร้าง เสร็จและกำลังสร้าง ห้าดาวหกดาวสลับกันไป เลยบอกเค้าว่าขอ ไปที่เป้าหมายของวันนี้เลยละกัน คือ Sheikh Zayed Grand Mosque
เราเดินทางออกจากดูไบสู่อาบูดาบีใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ ถนนที่นี่ดีมากกก กว้างขวาง ไม่มีหลุมบ่อขรุขระ แต่ด้วยความที่ถนนดีมาก รถก็จะขับกันเร็ว ดังนั้นแต่ละช่วงก็จะมีกล้องคอยจับความเร็วเป็นระยะๆ ซึ่งมันเวิร์คมากกับที่นี่ เพราะเมื่อคนขับเห็นกล้องนี่ก็จะลดความเร็วลงทันที แต่พอพ้นระยะก็เร่งความเร็วเหมือนเดิมสลับไปมาตลอดทาง นอกจากกล้องที่มีประสิทธิภาพแล้ว ที่มันเวิร์คมากเพราะค่าปรับเค้าโหดด้วย ค่าปรับสำหรับความผิดขับเร็วเกินกำหนดอยู่ที่ 600-800 AED(ประมาณ 6000-8000 บาท) ก่อนจะถึง Sheikh Zayed Grand Mosque เราขอแวะ Heritage Village and Museum ก่อน
Heritage Village and Museum
มิวเซียมนี้ไม่ใหญ่มาก ข้างในก็เป็นการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ วิถีชีวิตในทะเลทราย ซึ่งไม่เสียค่าเข้าและนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร ในช่วงที่เราไปเค้าปิดถนน เลยต้องเดินร่วม 2 กม. จากที่จอดรถ ถ้ามาเองแบบไม่มีคนพามานี่คงท้อใจไม่เดิน แต่เห็นว่าใครๆ ก็เดิน ก็ต้องเดิน! ฮ่าๆ แต่จุดที่เราชอบนั้นไม่ได้อยู่ในมิวเซียมเลย แต่เป็นด้านหลัง ซึ่งถ้าไม่เดินไปเข้าห้องน้ำก็คงไม่เห็นภาพนี้
Sheikh Zayed Grand Mosque
หลังจากเดินเท้ากลับออกมา จากมิวเซียมอีกร่วม 2 กม. ก็เดินทาง มุ่งสู่ Sheikh Zayed Grand Mosque แต่อะไรที่ว่าแน่ก็แพ้ความหยิ่งผยอง มั่นใจของตนเองว่าเคยไปมัสยิดที่โอมานมาแล้ว ก่อนเดินทางเราได้บรีฟ ทุกคนเรื่องการแต่งตัวเข้ามัสยิดว่า ผู้ชายแต่งยังไงก็ได้ขอแค่สุภาพ คือ ใส่เสื้อแขนสั้น/กางเกงขาสั้น ได้ แต่ ผู้หญิงต้องแขนยาว ขายาว และมีผ้าคลุมหัว เราแม่ลูกก็จัดการ match look ของตัวเองอย่างดี ตัดภาพมาที่ ทางเข้ามัสยิด จะมีอาคารเล็กๆ ที่แยก ทางเข้าเป็นชาย/หญิง เพื่อเข้าเครื่องตรวจเหมือนในสนามบิน ถัดมาก็เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อคลุม เราก็ไม่ได้สนใจเพราะมั่นใจว่าแต่งตัวมาถูกเป๊ะ ก็เดินออกมาเรื่อยๆ จนถึงตัวมัสยิดก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาหา
- จนท. ยูต้องไปเปลี่ยนชุด
- เรา (ก็งงดิ นี่ก็ขายาว แขนยาว แล้วนะ ผ้าคลุมหัวก็มี) ทำไม ต้องเปลี่ยนอะ จนท.ในนั้น (มือชี้ไปที่อาคารที่เพิ่งออก มา) ไม่เห็นบอกเลยว่าต้องเปลี่ยน
- จนท. (ชี้มาที่แขนเสื้อเรา) ชุดนี้เข้า ไม่ได้ แขนเสื้อยูยาวไม่พอ
- เรา แต่คนในนั้นไม่เห็นบอกเลยว่ามันผิด (ยังพยายามเถียง)
- จนท. คนในนั้นไม่ได้มีหน้าที่ตัดสิน ไอคือคนตัดสิน
- เรา หืมมม (ข่ะ ก็ได้ข่ะก้มหน้ามองแขนเสื้อตัวเองที่ยาวแค่สามส่วน ปิดไม่ถึงข้อมือ ดึงยังไงก็ไม่รอดค่ะ T___T) ก็เลยเดินเซ็งๆ ไปที่เดิมเพื่อไปเอาชุดนักเรียนฮอกวอตส์มาใส่ทับส่วนคนอื่นรอดสบ๊ายย
นอกจากการตรวจตามขั้นตอนที่ว่าแล้ว ที่มัสยิดนี้มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลค่อนข้างเข้มงวด แม้แต่เวลาเราเดินไปมาแล้วหมวกเสื้อคลุมมันอยู่แค่ครึ่งหัว เค้าก็จะเดินมาเตือนละ จะทำอะไรก็ต้องค่อนข้างสำรวมค่ะ
จุดเด่นของที่นี่คือ หินอ่อนสีขาวและลวดลายดอกไม้กับ Islamic pattern ที่ประดับอยู่ตามพื้น เสา ผนัง กระจก เพดาน สวยงามอ่อนช้อย ซึ่งต่างจาก Sultan Qaboos Grand Mosque ที่โอมาน ที่นั่นจะไม่มีลวดลายตามที่ต่างๆ เลย ขาวๆ คลีนๆ
นอกจากนี้ยังมีความใหญ่โตอลังการอีกสองอย่างคือ พรมที่อยู่ในโถงใหญ่นั้นเป็นพรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เวลาถึง 2 ปีในการทำตั้งแต่ออกแบบลวดลาย ถัก และนำมาประกอบเป็นผืนเดียวกัน และโคมไฟ Chandelier ทั้งหมด 7 โคม โคมที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ Main prayer hall หนักถึง 12 ตัน ส่วนอีก 6 โคมนั้นจะมี design เหมือนกัน แต่ต่างสีต่างขนาดกัน
ด้วยความที่เราไปถึงที่มัสยิดบ่ายเกือบเย็นแล้ว ก็เลยได้ถ่ายชอตมัสยิดพร้อมกับพระอาทิตย์ตกด้วย : )
ปิดท้ายวันแรกด้วยอาหารอารบิก โดยร้านนี้พี่คนขับรถแนะนำและพามาส่งถึงที่ ก็อร่อยอย่างที่เค้าว่าจริงๆ ตามภาพนี้เสียหายไป 308 AED ค่ะ
Day 2
ยอมรับเลยว่าการค้างคืนในทะเลทรายนั้นเป็นกิจกรรมบังคับจากเราเอง ฮ่าๆ เพราะเราเคยไปมาแล้วมันดีจริงๆ และครั้งนี้มันเหนือความคาดหมายจากประสบการณ์ของเรามากๆ
ทะเลทรายใน UAE นั้น อธิบายง่ายๆ ก็คือมีให้เลือกแบบ ทะเลบางแสนกับทะเลสิมิลัน แบบทะเลบางแสนก็จะใกล้ดูไบ ใช้เวลาแค่วันเดียว ค้างหรือไม่ค้างคืนก็ได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีการแสดงให้ดู เป็นต้น แต่สำหรับเรา ไหนๆ ก็มาแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด The Empty Quarter
The Empty Quarter
ทะเลทรายแห่งนี้กินพื้นที่ 4 ประเทศด้วยกันคือ ซาอุดิอาระเบีย โอมาน สหรัฐอาหรับเมิเรตส์ และเยเมน เป็น The largest contigeous sand desert in the world อธิบายง่ายๆ คือเป็นทะเลทรายที่มีพื้นที่เป็นทรายล้วนใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง และยังมี Moreeb dune ซึ่งเป็นสันทรายที่สูงที่สุดใน UAE ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากไปเห็นมากๆ
เราจอง Overnight desert trip ไว้ล่วงหน้าแล้วกับ Explorer Tours ราคา 3800 AED/4 PAX โดยตกลงกันเบื้องต้นว่าเราอยากไปดู Moreeb dune กับฟาร์มอูฐ นอกนั้นแล้วแต่ไกด์จัดให้เลย
10.30 น. ไกด์ของเราวันนี้ชื่อ เนวิด มารับเราที่โรงแรมก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อยด้วยรถ 4X4 ที่อัดแน่นด้วยข้าวของสำหรับการตั้งแคมป์คืนนี้ แค่เห็นก็รู้สึกตื่นเต้นปนหวั่นใจว่าคืนนี้จะเจอกับอะไรบ้าง … หลังจากอัดสัมภาระของพวกเราเข้าไปในรถเพิ่มเรียบร้อย ก็ออกเดินทางจากดูไบมุ่งสู่อาบูดาบีเช่นเคย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็เริ่มเข้าเขตทะเลทรายแต่มีถนนตัดผ่านอย่างดี ซักพักประมาณ 20 นาที อยู่ดีๆ ก็มีเมืองโผล่ขึ้นมาตรงหน้า เมืองนี้คือ Madinat Zayed เป็นเมืองเล็กๆ ที่เนวิดคิดว่าจะแวะเติมน้ำมันก่อนจะเข้าสู่ทะเลทรายจริงๆ ได้ แต่ก็ไม่มีแม้ซักปั๊มเดียว แต่กลับมีโชว์รูม Lexus … ไม่เป็นไร ยังมีอีกความหวังนึงข้างหน้าคือเขต Liwa Oasis ขับต่อไปด้วยความหวั่นใจ ซักพักเนวิดเริ่มขับช้าลงๆ ปิดแอร์ เปิดกระจก แล้วรถก็ชะลอตัวดับอย่างช้าๆ ฮือออออ น้ำมันหมดจนได้!!! พ่อกะแม่เริ่ม panic เพราะนี่คือบนถนนโล่งๆ กลางทะเลทรายที่ก็พอจะมีคนอยู่เบาบาง แล้วจะยังไงต่อ เนวิดก็ลงไปโบกรถเพื่อขอไปซื้อน้ำมันที่ปั๊มข้างหน้ากลับมาเติม ระหว่างรอ เนวิดก็สั่งให้เรากินอาหารกลางวันที่เตรียมมาไปพลางๆ และห้ามลงจากรถ เพราะรถวิ่งผ่านเร็วมาก หลังจากจัดการกับอาหารกลางวันเรียบร้อย เนวิดยังไม่กลับมา ผู้สูงอายุของเราเริ่มจะปวดเบา และรอไม่ได้ ก็เลยทำการปล่อยของเหลวสู่พื้นทรายครั้งแรก ฮ่าๆ (จริงๆ เราก็ปวด แต่เราเชื่อว่า ถ้ามีปั๊มอยู่ข้างหน้า ก็ต้องมีห้องน้ำที่ดีรอเราอยู่)
ระหว่างที่ขับผ่านเมืองนี้ เราจะเห็นสวนอิทผลัมตลอดทาง เนวิดเล่าว่าที่นี่เป็นที่จัดงานอินทผลัมของ UAE เลยทีเดียว ชื่องานว่า Liwa Date Festival เทียบกันก็เหมือนงานผลไม้ประจำปีแบบไทย แต่แค่สงสัยว่ามันจะมีคนมาถึงนี่เพื่อมางานเลยหรอ ไกลมากกกก
และแล้วเราก็มาถึงที่แรกซะที Moreeb dune สันทรายที่สูงที่สุดใน UAE ที่เนวิดไม่ค่อยภูมิใจนำเสนอเท่าไหร่ เดี๋ยวจะเฉลยว่าทำไม…
สิ่งที่คนอยากทำเมื่อมาถึงสันทรายคือ ปีนขึ้นไปบนจุดสูงสุดแล้วชื่นชมความยิ่งใหญ่ของมัน และควรจะเป็นตอนเช้ามืดหรือไม่ก็เย็นๆ ใกล้ๆ เวลาพระอาทิตย์ตกดิน แต่สำหรับ Moreeb dune แล้ว ขอบายจ้าาา เพราะเรามาถึงเวลาประมาณบ่ายสองครึ่ง ยังร้อนมากเกินกว่าจะปีนขึ้นไป ด้วยความสูงและความชันของมันอีก ขอชื่นชมอยู่ข้างล่างดีกว่า ฮ่าๆ
สำหรับคนที่คุ้นเคยเข้าออกทะเลทรายอยู่ทุกวันอย่างเนวิดแล้ว Moreeb dune ไม่ได้ยิ่งใหญ่เลย หลังจากขับรถออกมาทางเดิมบนถนนที่ตัดผ่านสันทรายที่สูงกว่า เนวิดก็ชี้ให้ดูว่าเราสามารถเห็นสันของ Moreeb dune ได้จากตรงนี้ ซึ่งก็แสดงว่า Moreeb dune ไม่ได้เป็นสันทรายที่สูงที่สุด… ก็จริงของเค้า แต่เนวิดก็ไม่ทำร้ายจิตใจเราเกินไป นางก็อธิบายต่อว่า แต่ Moreeb dune มันเหมือนเป็น Single sand dune ที่สูงที่สุดมากกว่า สังเกตจากแผนที่ได้ว่าพื้นที่ใต้แนวโค้งจะเป็นสันทรายจำนวนมากที่ทับถมซ้อนกันอยู่ แต่ Moreeb dune คือสันเดี่ยวๆ ที่สูงที่สุด ไม่มีสันเล็กสันน้อยรอบๆ เลย ก็สบายใจได้ว่าไม่ได้โดนข้อมูลในอินเตอร์เน็ตหลอกให้มาจ้าาา : )
ผ่านไปชั่วโมงครึ่ง เราเดินทางมาอีกฟากนึงของโค้ง Liwa oasis จนถึงบริเวณที่ชื่อว่า Hamim ซึ่งตอนนี้รถของเราไม่ได้วิ่งบนถนนแล้ว แต่เป็นบนทราย (พ่อบอกว่าเห็นเนวิดปล่อยลมยางออกตอนอยู่ที่ปั๊ม เพื่อให้สามารถขับบนทรายได้) ขับไปเรื่อยๆ จนเจอที่โล่งๆ ที่มีเต๊นท์และอูฐเดินอยู่อย่างอิสระ ใกล้ๆ มีแอ่งแห้งๆ ขนาดใหญ่ที่ถ้าฝนตกก็จะมีน้ำขังในแอ่งนี้ ก็ดูประหลาดดีที่อยู่ๆ ก็มีที่เลี้ยงอูฐโผล่อยู่กลางทะเลทราย ในความคิดตอนแรกคือมันต้องมีคอกเยอะๆ อูฐแต่งตัวหน่อยไว้โชว์นักท่องเที่ยว แต่ถึงจะดูไม่อลังการเท่าที่คิดไว้ ก็ยังต้องเสียค่าทิปให้คนดูแลอูฐอยู่ดี ก็หันไปถามเนวิดว่าควรให้เท่าไหร่ นางบอก 80 AED เราก็ ห๊ะ! แค่มาจับอูฐให้ถ่ายรูปเฉยๆ ยังไม่ได้ขี่เลยนะ เราเลยให้ไป 40 AED พอ …
หลังจากผิดหวังเล็กๆ กับฟาร์มอูฐของเนวิด นางก็ขับรถพาปีนสันทรายออกมาเรื่อยๆ ขึ้นๆ ลงๆ ไปมาอยู่สิบห้านาที แล้วอยู่ดีๆ ก็หยุดรถ… ดับเครื่อง… “เอาล่ะ เราจะตั้งแคมป์กันที่นี่” เนวิดบอก
อัลลัยนะ!!! เราสี่คนพ่อแม่ลูกมองหน้ากันแต่ยังไม่พูดอะไร แต่เหมือนเนวิดจะรู้สึกถึงสีหน้าของพวกเราได้ว่ามันไม่ปกติ
- เนวิด เป็นอะไรรึเปล่า
เราเลยถามตรงๆ ว่า - เรา เราจะนอนที่นี่กันจริงๆ หรอ (ภาพตรงหน้ามันคือ “กลางทะเลทราย” จริงๆ)
- เนวิด ใช่ ที่นี่แหละ ก็คุณซื้อทัวร์มาที่นี่หนิ
- เรา (ฮือออ มันก็ใช่แหละ) ก็ใช่แหละ แต่คิดว่ามันน่าจะมีคนมาตั้งเต๊นท์รวมกันอยู่ประมาณนึง
- เนวิด อ๋อ ไม่มีหรอก เพราะที่นี่คือ The Empty Quarter มีเพียงเรากับทะเลทรายเท่านั้น (เนวิดยิ้มอย่างภูมิใจ)
- เรา อาฮะ โอเคคค (ยิ้มแหยๆ และหัวเราะกลบเกลื่อนในความโชคดีของเราเหลือเกิน ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
และนี่คือจุดเริ่มต้นของความพีคของทริปนี้ หึหึหึ
หลังจากปรับอารมณ์พ่อกะแม่ให้เชื่อว่า นี่คือความสุดยอดของการมาทะเลทรายเลยนะ!! น้อยคนมากที่จะได้มีโอกาสมาแบบนี้ ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง เจ๋งสุดๆ !!! แต่เหมือนแม่จะยังต้องการเวลาในการทำใจ… ส่วนพวกเราสามคนออกเดินสำรวจรอบๆ ขณะนั้นเป็นเวลาสี่โมงครึ่ง เรายืนอยู่บนพื้นที่ที่อธิบายง่ายๆ ว่า ด้านหลังเป็นภูเขา ด้านหน้าเป็นหน้าผา และทั้งหมดเป็นทรายล้วน กิจกรรมที่ทำได้ระหว่างรอเนวิดทำอาหารเย็นให้เรากินกันคือ เล่น sand board กับดูพระอาทิตย์ตก
จนเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบทะเลทราย ก็ได้เวลาอาหารเย็นของเราซึ่งเนวิดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยตามภาพ เป็น BBQ เนื้อแกะ วัว และไก่ สลัดผัก เครื่องดื่มมีพร้อม ทุกอย่างอร่อยมาก เรากินอิ่มกันเร็วมากเพราะหิวและเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวัน เราเตรียมตัวนอนกันตั้งแต่ทุ่มครึ่ง และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะโอเค
กลางทะเลทรายที่มืดสนิท ดวงดาวเต็มท้องฟ้าเหมือนกับว่ามันจะร่วงลงมาใส่ตัวเราได้ อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ มีลมพัดเป็นระยะๆ พวกเราสี่คนนอนรวมในเต๊นท์เดียวกัน และเนวิดนอนแยกคนเดียวอีกเต๊นท์ เวลาผ่านไปซักพักลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ช่องหน้าต่างที่เราเปิดไว้ให้ลมผ่านตอนนี้ต้องปิดหมดเพราะมันพัดทรายเข้ามาด้วย แต่ก็กันได้ไม่หมดเพราะมันยังมีรูด้านบนที่ปิดไม่ได้ ก็พยายามอดทนหลับให้ได้ จนเวลาผ่านไป อากาศจากเย็นๆ เริ่มหนาวขึ้น ลมก็พัดแรงขึ้นๆ เป็นแบบนี้ตลอดทั้งคืน หลับๆ ตื่นๆ ตลอด เพราะขณะที่เรานอน ลมที่พัดอยู่ด้านนอกก็ค่อยๆ เซาะทรายรอบๆ ตัวที่เรานอนทับ ทำให้นอนไปซักพักหัวเราก็จะตกไปในหลุม พูดเลยว่าเหนื่อยกว่าการเดินทางทั้งวันที่ผ่านมาหลายเท่า ตลอด 10 ชั่วโมงในเต๊นท์นั้นคือการฝึกความอดทน ต่อจากนี้พวกเราสี่คนสามารถนอนที่ไหนก็ได้บนโลกแล้ว ฮ่าๆๆ
… ตัดภาพมาที่เนวิดผู้นอนคนเดียวในเต๊นท์นั้นลำบากกว่าเรามาก นอนๆ อยู่ลมก็พัดเต๊นท์ปลิวจนต้องย้ายมาตั้งเต๊นท์ใหม่ใกล้ๆ รถ เพื่อใช้รถบังลมแทน
Day 3
หกโมงเช้า ทุกคนพร้อมใจกันออกมานอกเต๊นท์ ไม่มีใครตื่นสายเลยแม้แต่คนเดียว พอเถอะกับการนอนที่ไม่ได้นอน ตอนนี้ทั้งตัวมีแต่ทรายเต็มไปหมด เก็บข้าวของอย่างว่องไว กินอาหารเช้าและออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด อยากอาบน้ำมากกกกกก
หลังจากที่เราขับรถออกมาได้ระยะนึงฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของช่วงฤดูนี้ แต่ความโชคดีมันอยู่ที่ว่า สี่วันที่เราอยู่ที่นี่ มีเพียงวันที่เราไปนอนที่ทะเลทรายเท่านั้นที่ฝนไม่ตก ไม่งั้นคงอดนอนในทะเลทรายอย่างที่ตั้งใจไว้แน่นอน
และแล้วก็ถึงเวลาต้องลาเนวิดผู้ที่พาพวกเราผจญภัยตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา หากใครต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครกล้ามาอย่างเรา อันนี้ยืนยันได้ เพราะเนวิดบอกว่านานน๊านนนน จะมีคนมาแบบนี้ซักกลุ่มนึง ส่วนใหญ่เค้าจะไปใกล้ๆ แถวดูไบกัน
ช่วงบ่ายหลังจากเก็บข้าวของที่โรงแรมและแปลงร่างใหม่เรียบร้อยก็ไปขึ้นตึก Burj Khalifa ตึกที่สูงที่สุดในโลกขณะนี้ แนะนำว่าควรจองล่วงหน้า เพราะถ้าไปซื้อตั๋ววันนั้นเลยจะแพงกว่ามากและอาจจะเต็มจนไม่ได้เข้าค่ะ และวันรุ่งขึ้นก็ไปเดินซื้อของฝากที่ตลาดทอง (Gold Souk) สิ่งที่แนะนำให้ซื้อกลับมาคือ อินทผลัม, ผ้าพันคอ, ชาและเครื่องเทศแปลกๆ กลับมาลองทำอาหารทานเองที่บ้านดูค่ะ และอีกหนึ่งของแพงที่สุดของที่นี่คือ หญ้าฝรั่น (Safron) มีค่าเทียบกับทองได้เลยและมีหลายเกรด ราคาของเกรดที่ดีอยู่ที่ 50 AED/g ค่ะ
My View
และทั้งหมดนี้เสียหายไปทั้งหมด 120,XXX บาทไทย รวมทุกอย่างทั้งกิน ค่าแท็กซี่ ของฝาก ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ถูกขนาดนี้คงเป็นค่าตั๋วเครื่องบินเลยค่ะ ส่วนอื่นๆ ถ้าลดได้อีกน่าจะเป็นค่าแท็กซี่ เนื่องจากเราเลือกโรงแรมก่อนวางแผนที่เที่ยว ทำให้ต้องย้อนไปมาหลายรอบและข้ามเขตก็เสียค่าผ่านทางด้วย เช่น ถ้าจะเที่ยวในดูไบ ให้จองโรงแรมในดูไบ แม้จะแพงกว่าเขตอื่นอย่างชาจาห์ แต่ก็ประหยัดค่าแท็กซี่และเวลามากกว่าค่ะ