2014S_CACM: เที่ยว 3 วันในโคเปนเฮเกนด้วยตัวเอง

จุดเริ่มต้นของทริปนี้คือ เราได้ไปอ่านเจอการจัดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกของนิตยสาร The Monocle พบว่า โคเปนเฮเกน คือเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2013 และ 2014 เราก็เลยอยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันน่าอยู่ยังไง ผู้คน บ้านเมือง ฯลฯ ก็เลยเป็นที่มาของการเดินทางครั้งนี้ และที่สำคัญคือ นี่เป็นการไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิตค่ะ

ทริปนี้จะเดินทาง 9 วัน 4 เมือง คือ Copenhagen (Denmark), Amsterdam (Netherland), Cologne + Munich (Germany) ตั้งแต่ 27 พ.ย. – 5 ธ.ค. โดยเริ่ม 3 วันแรกที่โคเปนเฮเกน

2014S_CACM_Overview

Day 1

ถึงสนามบิน 11.30 อันดับแรกก็ต้องไปให้ถึงที่พักที่จองไว้ล่วงหน้าแล้วก็คือ Generator Hostel ด้วยการซื้อตั๋วรถไฟ  Zone 3 (ที่ตู้หรือเคาน์เตอร์ในสนามบิน) ที่เลือกที่นี่เพราะอยู่ใกล้ Metro และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีจักรยานให้เช่า รวมถึงห้องพักก็สะอาดและน่าอยู่ค่ะ

หลังจากเช็กอินเสร็จ เก็บของเรียบร้อย ก็ไปเช่าจักรยานจากโรงแรม ซึ่งการปั่นจักรยานคือจุดเด่นของเมืองนี้เลย คนส่วนใหญ่นิยมปั่นจักรยานเป็นหลัก ไม่ว่าจะแต่งตัวสวยใส่ส้นสูงขนาดไหน ก็ยังปั่นจักรยานกัน และปั่นกันเร็วมาก เพราะเค้ามีเลนจักรยานโดยเฉพาะ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนรถใหญ่ๆ มาเฉี่ยวชน แต่สำหรับคนที่แทบไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมาเลยอย่างเรา ก็จะเหนื่อยหน่อย เพราะการปั่นบนถนนจริงมันไม่มีใครปั่นไปชมวิวไป เราก็เลยต้องรีบปั่นให้ไม่ไปขวางทางเค้า ลืมบอกไปว่าอากาศหนาวมากเหมือนอยู่ใน freezer ดังนั้น แผนที่วางไว้ว่าจะปั่นไปนู่นไปนี่ก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น แถม 4 โมงครึ่งฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว อากาศก็เย็นลงไปอีก ก็เลยได้ปั่นเที่ยวรอบๆ เมือง ถือเป็นการซ้อมไปก่อนในวันแรก

Day 2

วันนี้ต้องเดินทางออกจากตัวเมืองไกลหน่อย เลยเลือกเดินทางด้วยรถเมล์ จุดหมายแรกคือ Deer Park ตามที่หาข้อมูลมา ที่นี่จะเป็นสวนสาธารณะที่มีกวางออกมาเดินเล่น ก็เลยอยากไปดูค่ะ

การเดินทาง: รถเมล์ Nørreport-Klampenborg

พอไปถึงป้ายปลายทาง เดินขึ้นสะพานไปนิดนึงก็เจอทางเข้าสวนสาธารณะเลย แต่ผิดจากที่คาดหวังไว้ว่าจะเจอกวางเยอะๆ แต่เจ้ากวางค่อนข้างจะขี้อาย ก็เลยเจอแค่สี่ตัววิ่งออกมาแล้วก็หายไป ต้นไม้ก็แห้งหมดแล้วเพราะเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่ก็ยังเห็นมีคนเข้ามาเดินเล่นเรื่อยๆ ทั้งกลุ่มคนมีอายุและเด็กตัวเล็กก็มาเดินกันแบบไม่กลัวหนาวเลย

หลังจากใช้เวลาอยู่ใน Deer Park ซักพักนึง ก็ขึ้นบัสสายเดิมกลับเข้าสู่ตัวเมืองเพื่อไปโบสถ์ Grundtvig’s Church เป็นโบสถ์ที่เพิ่งเห็นใน Pinterest สองสามวันก่อนเดินทาง ก็เลยได้แทรกเข้ามาในการเดินทางวันนี้ โดยต้องมาเปลี่ยนสายบัส ที่ป้าย Svanemøllen St เพื่อไปลงป้าย Emdrup St พอลงจากป้ายปุ๊บหันไปก็เจอเลยค่ะ

Grundtvig's Church
SONY DSC
SONY DSC

ตัวโบสถ์ถูกออกแบบผสมผสานระหว่างศิลปะแบบโกธิค (Gothic) และความโมเดิร์นแบบมินิมอล (Minimalism) คือมีเพดานสูง ทางเดินแคบที่ทอดยาวสู่แท่นพิธี และเสาที่สูงชะลูดขึ้นไปรับกับโครงหลังคาโค้งด้านบน แต่ความน้อยคือแทบไม่มีการประดับตกแต่งด้วยกระจกสี ใช้เพียงอิฐสีเหลืองครีมทั้งตัวโบสถ์ ทำให้เวลาที่แสงส่องเข้ามา ภายในจะดูอบอุ่นและเป็นบรรยากาศสีทองๆ สว่างๆ ไปทั่วทั้งโบสถ์เลยค่ะ

ชมโบสถ์เสร็จก็มาต่อที่สวนสนุกค่ะ Tivoli Gardens สวนสนุกที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของโลก ความน่ารักของที่นี่คือเครื่องเล่นและอาคารต่างๆ ยังมีบรรยากาศของความย้อนยุคซึ่งหาไม่ได้ในสวนสนุกยุคใหม่ๆ และช่วงเวลาที่เราไปก็เป็นช่วงคริสต์มาสด้วย จึงมีการตกแต่งจัดไฟ ร้านค้าต่างๆ ก็จะขายของและประดับประดาอย่างน่ารักสวยงาม

Tivoli

การเดินทาง: มีสองทางเลือก

1. ถ้ามาจากโรงแรม (Generator Hostel) ตอนเช้าๆ ก็ขี่จักรยานผ่าน Strøget จนสุดทาง (ซึ่งสามารถทำได้แค่ตอนเช้าเท่านั้น เพราะร้านค้ายังไม่เปิดและไม่มีคนมาเดิน หรือออกสายหน่อยก็ได้ แล้วเดินชอปปิ้งมาเรื่อยๆ) จะมาเจอลานกว้างๆ ก็ให้ข้ามลานนั้นมาเลยก็จะมาเจอทางเข้าสวนสนุกตั้งอยู่ตรงข้ามฝั่งถนน (วิธีนี้เพิ่งมาเจอเอาวันสุดท้ายค่ะ ฮ่าๆ)
2. ถ้านั่งบัสมาจาก Grundtvig’s Church ก็ให้ลงป้าย Vesterport St แล้วจะเดินข้ามถนนมาก็ได้หรือนั่งบัสต่ออีกนิดนึงก็ได้ ไปลงป้าย Tivoli ค่ะ

Tivoli

เรามาถึงสวนสนุกประมาณบ่ายโมงค่ะ ก็หิวๆ แล้วด้วย กะว่าจะไปหามื้อเที่ยงเอาในนี้แหละ ค่าเข้าถ้าไม่เล่นเครื่องเล่นก็ 99 DKK ค่ะ คิดว่าเล่นอะไรไม่ไหวแน่เพราะหนาวมาก พอเดินเข้าไป บรรยากาศมันก็น่ารักจริงๆ ค่ะ แต่คนไม่เยอะมาก เลยเดินสบายๆ แวะนั่งพักหาที่อุ่นๆ กินมื้อเที่ยง ออกมาจากร้านก็ประมาณบ่ายสองกว่าๆ ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ พอเริ่มตกเย็นคนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เลยเข้าใจแล้วว่าถ้าจะมาต้องมาตอนเย็นๆ ค่ำๆ ร้านรวงต่างๆ คนแน่นเลย และมีทุกช่วงอายุ อาจจะเป็นเพราะมีการแสดงน้ำพุตอนหกโมงเย็นด้วย คนก็เลยมารอดูกัน ตอนแรกเราก็ว่าจะรอดูด้วย แต่ขากับเข่าเราไม่ไหวละ ตอนนั้นสี่โมงเย็น เราทนอยู่ข้างนอกหนาวๆ ไม่ไหว ก็เลยขอลา จังหวะนั้นขอเอาสุขภาพให้รอดก่อน เพราะต้องเดินทางเองอีกหลายวันค่ะ ^_^”

IMG_2969_r

Day 3

วันสุดท้ายในโคเปนเฮเกนแล้ว คิดอยู่นานว่าจะขี่จักรยานหรือนั่งบัสดี แล้วก็ตัดสินใจจะปั่นจักรยานอีกซักตั้ง เพราะขาเราไม่ไหวแล้ว จะให้เดินหาป้ายรถเมล์อีกขาคงจะพัง ก็เลยเช่าจักรยานแบบเต็มวันจากโรงแรม ปั่นผ่าน Strøget ซึ่งเป็นถนนชอปปิ้งที่ยาวที่สุดในยุโรป ช่วงเช้าก็จะเงียบๆ ปั่นผ่านได้สบาย จนสุดถนน จนไปเจอ Tivoli อีกรอบ แล้วก็ลองเลี้ยวซ้ายขึ้นไป จนไปถึงสะพาน Langebro ข้ามฟากท่าเรือ สะพานใหญ่และกว้างมาก ปั่นขึ้นไปได้กลางสะพานก็หยุดพัก มองออกไปเจอเหมือนเป็น Public Space ให้คนมาพักผ่อน ก็เลยลงไปดู มันคือ Kalvebod Bølge หรือ Kalvebod Wave มันจะเป็นทางยาวๆ ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนคลื่นและเชื่อมต่อกันหมด จะปั่นจักรยานบนนั้นก็ได้ แต่คิดว่าในฤดูร้อนคงทำไม่ได้เพราะจะมีคนมานั่งอาบแดด พักผ่อนตรงนี้เยอะ บรรยากาศดีมากถ้าไม่หนาว นั่งเล่นริมแม่น้ำ ชิลสุดๆ เลยค่ะ

SONY DSC

จากนั้นก็ปั่นเลียบแม่น้ำมาเรื่อยๆ เพื่อจะไป Danish Jewish Museum แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เวลาเปิด ก็เลยเข้าไปนั่งเล่นอุ่นๆ ในห้องสมุด The Royal Library ซึ่งตัวอาคารมีชื่อว่า Black Diamond เป็นอาคารกระจกทรงลูกบาศก์สีดำตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ข้างในก็จะมีร้านกาแฟเล็กๆ ให้นั่งเล่นชมบรรยากาศได้ค่ะ

SONY DSC
IMG_3005_r

พอได้เวลามิวเซียมเปิด ก็แค่ข้ามถนนเลยค่ะ จะมีทางเข้าจากทางด้านหลังของมิวเซียม ค่าเข้าชม 75 DKK เรื่องราวหลักๆ ที่มิวเซียมนี้นำเสนอคือ การอพยพของคนยิวจากเยอรมนีมาที่เดนมาร์ก ความยากลำบาก การเอาชีวิตรอด แล้วก็มีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่อยู่ในช่วงเวลานั้น สมุดบันทึก หรือของมีค่าต่างๆ ที่ใช้แลกเป็นค่าเดินทางในตอนนั้น ตัวเนื้อหาและบรรยากาศภายในไม่ได้ทำให้เราอินถึงความโหดร้ายของช่วงเวลานั้นเท่ากับมิวเซียมในเยอรมนีค่ะ เพราะภายในถูกออกแบบให้ค่อนข้างดู Futuristic ในขณะที่ภายนอก ตัวอาคารเป็นอาคารเก่า

หลังจากชมมิวเซียมเสร็จก็เริ่มตกเย็นแล้ว ที่สุดท้ายที่จะไปคือ Strøget เพื่อซื้อของฝาก ซึ่งตอนนี้ปั่นจักรยานผ่านไม่ได้แล้วค่ะ เพราะคนเดินเต็มถนนเลย ต้องจูงผ่านไปแทน ตลอดเส้นทางก็จะมีร้านแบรนด์เนมเยอะมากแต่ไม่ได้เข้าเลยค่ะ เพราะร้านที่เราอยากเข้าคือ LEGO ค่ะ ก็แน่นอนว่าเด็กตรึม เลโก้ที่ขายก็จะมีทั้งแบบเซ็ตและแบบให้เราเลือกชิ้นส่วนเองด้วยค่ะ ราคาก็ตามขนาดกระป๋อง ระหว่างต่อคิวจ่ายเงิน ซึ่งก็ไม่ได้ยาวมาก ก็ประมาณ 4-5 คิว ก็มีพนักงานเดินมาแจกของเพื่อเป็นการขอโทษที่ต้องให้รอคิวนาน ดี๊ดีอ่ะ : D

เสร็จสิ้นภาระกิจก็กลับโรงแรม เก็บข้าวของแล้วเดินทางต่อไปอัมสเตอร์ดัมค่ะ


My View

ทริปโคเปนเฮเกนนี้เราประทับใจมาก ทั้งผู้คนเป็นมิตร การเดินทางสะดวก ปลอดภัย อาหารอร่อย แม้จะแพงถ้าเทียบเป็นเงินไทย บ้านเมืองสะอาด เป็นระเบียบ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปอีกในช่วงฤดูร้อน น่าจะไปไหนมาไหนได้มีความสุขกว่านี้ เพราะอากาศหนาวและมีลมแรง ทำอะไรก็ทรมานไปหมด แต่ก็ไม่ผิดนะคะถ้าจะไป เพราะมันก็จะได้บรรยากาศช่วงคริสต์มาส

เพิ่มเติม

* เพื่อความชัวร์ให้ปริ๊นชื่อสถานที่ ป้ายรถเมล์ ข้อมูลทุกอย่างออกมาด้วยค่ะ ถึงภาษาเดนนิชจะใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ แต่บางคำก็อ่านไม่เหมือนกันเช่น Nyhavn = นูฮาว์น, Strøget = สตรอยก์

* อาหารอร่อยมากกก เท่าที่กินมาในแต่ละมื้อ ยังไม่เจออะไรไม่อร่อย สิ่งที่เป็น signature ของที่นี่คือ Smørrebrød มันคือแซนด์วิชที่มีขนมปังแค่ด้านเดียว (Open Sandwitch) ซึ่งส่วนประกอบที่วางบนขนมปังก็จะไม่ใช่แค่ไส้กรอก ทูน่า วางๆ แบบธรรมดาๆ แต่ละร้านก็จะมีสูตรของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน เหมือนกับเป็นอาหารจานนึงเลยทีเดียว

* ถ้าไปไหนไม่ถูก ให้ถามคนเลยค่ะ เค้าตอบหมด แต่ไม่ถึงกับพาเดินไปส่งแบบคนญี่ปุ่นนะคะ ออกแนวต้องพึ่งตัวเองค่ะ 55+ หรือถ้าจะขึ้นรถเมล์ก็เช็คได้ว่าเราอยู่ป้ายอะไร สายนี้ไปไหน คันที่จะมาเป็นสายอะไร เพราะที่ป้ายจะมีบอกเลยค่ะว่าสายไหนผ่านและไปไหน ส่วนตั๋วก็ซื้อกับคนขับเลยค่ะ

* เมืองจักรยาน การปั่นจักรยานที่นี่ไม่ใช่แฟชั่นหรือกิจกรรมยามว่าง แต่มันคือวิถีชีวิต มีการจัดการที่รองรับการเดินทางทุกประเภท คนที่ปั่นจักรยานสามารถปั่นได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะโดนรถใหญ่สอยไป เพราะแบ่งเลนชัดเจน ถนนดี สามารถเอาจักรยานขึ้นรถไฟฟ้าได้ แต่ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งก็สมเหตุสมผล

* แม่น้ำ พอไปเห็นความสะอาดของแม่น้ำที่นี่แล้วนึกถึงแม่น้ำเจ้าพระยาของเรา คือวิถีชีวิตเค้าก็อยู่กับแม่น้ำเหมือนกัน แต่การจัดการที่ดี ทำให้มันสามารถสร้างเป็น Public Space ให้คนมาพักผ่อนได้ ดูสวยงามสะอาดตาและรื่นรมย์มาก

* ขอพูดถึง Generator Hostel อีกที คือ เราทำคีย์การ์ดหายเค้าก็ไม่ปรับด้วยค่ะ แถมวันสุดท้ายเราลืมเช็คเอาต์ค่ะ ออกไปเที่ยวซะเพลินทั้งวัน ตอนเข้าห้องจะไปเก็บของเลยเข้าไม่ได้ แต่เค้าก็ไม่ปรับเราค่ะ ซึ่งที่ถูกคือควรเช็คเอาต์แล้วเอาของมาใส่ไว้ในล็อกเกอร์ข้างล่างค่ะ เค้ามีให้เช่า คือที่นี่ดีมาก เข้าใจนักเดินทาง ขอแนะนำแบบไม่คิดค่าโฆษณาเลยค่ะ : )

>> ไป Amsterdam กันต่อ