ทริปนี้เป็นทริปต่างประเทศทริปแรกของเราหลังจากมีโควิดเกิดขึ้นบนโลกมาได้เกือบสองปี และหากยังจำกันได้ รัฐบาลไทยได้เปิดประเทศให้คนไทยเดินทางออกต่างประเทศในฐานะนักท่องเที่ยวเมื่อช่วงปลายปี 2021 แต่ก็เปิดได้ไม่กี่สัปดาห์ ก็มีเจ้าสายพันธุ์โอไมครอนเริ่มระบาดอีก ทำให้ต้องปิดประเทศอีกรอบ ซึ่งเรานี่จ้องและเตรียมตัวมาตั้งแต่เค้าเริ่มประกาศว่าจะเปิดประเทศแล้ว ก็เลยโชคดีได้เดินทางตอนรอบนั้นด้วย
แต่หากยังจำกันได้ รอบแรกที่เปิดนั้นไม่ใช่ว่าเราจะเดินทางไปได้ทุกประเทศ มีมาตรการมากมายทั้งการตรวจเชื้อทั้งขาไปและกลับ การหาข้อมูลว่าประเทศไหนบ้างที่เราไปได้ (หมายถึงประเทศปลายทางเค้าต้องรับนักท่องเที่ยวไทยด้วย) แล้วตอนขากลับไม่ต้องกักตัว ประกอบกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ช่วงนั้นก็เสียไปกับมาตรการพวกนี้พอสมควร เราจึงได้มาลงเอยที่ ดูไบ
ดูไบในช่วงนั้นมีการจัดงาน World Expo 2020 ซึ่งแน่นอนว่ามันถูกเลื่อนมาจัดในปี 2021 (1 Oct 2021 – 31 March 2022) เพราะโควิดนี่แหละ ส่วนตัวเราอยากไปมาหลายปีแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังไม่มีตังค์จะบินไปดูเอง ตอนนี้ก็จังหวะเหมาะ นี่เลยถือเป็น World Expo แรกในชีวิตเลย
World Expo มีอะไร? ทำไมต้องไปดู?
การจัดงาน World Expo นั้นมีมาร้อยกว่าปีแล้วตั้งแต่ ค.ศ. 1851 ส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในโซนยุโรปและอเมริกาทุกๆ 5 ปี ในยุคแรกๆ จะเป็นเหมือนงานแสดงนวัตกรรมซะมากกว่า เพราะเป็นช่วงยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม ประเทศไหนประดิษฐ์คิดค้นอะไรได้ก็เอามาโชว์กัน ยุคถัดมาในช่วงสงครามโลก ก็จะเริ่มมีเรื่องราวของวัฒนธรรมและสังคมเข้ามาในธีมการจัดงานด้วย แต่ละประเทศก็จะเอาศิลปะ วัฒนธรรม และแนวคิดทางสังคมในช่วงนั้นมาแสดงให้นานาชาติได้เห็น ควบคู่ไปกับเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี และในยุคปัจจุบัน งาน World Expo เปรียบเสมือนการทำ Nation branding นั่นคือการสร้างแบรนด์และโปรโมตประเทศของตัวเองให้ชาวโลกรู้ว่าประเทศฉันมีดีอะไร มีวิสัยทัศน์อย่างไร เป็นต้น เนื้อหาในช่วงหลังปี 2000 มานี้ก็จะเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นธีมหลัก ทุกประเทศก็จะนำนวัตกรรม เทคโนโลยีต่างๆ มานำเสนอ หรือใช้เป็นสื่อนำเสนอมุมมองของตัวเองต่อธีมในแต่ละปี ส่วนใหญ่ประเทศพัฒนาแล้ว หรือประเทศรวยๆ ก็จะไม่ยอมน้อยหน้ากันแน่นอนในการอวดความเจ๋งของตัวเอง เพราะงั้นเราเลยเล็งว่าต้องไปดูให้ได้สักครั้งในชีวิต

ทำไมครั้งนี้จัดที่ดูไบ
สั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ เค้าประมูลชนะ ฮ่าๆ จากหลายประเทศที่ส่งแบบและนำเสนอธีมของงาน ธีม Connecting Minds, Creating the Future จาก UAE ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการมากที่สุด ก็เลยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานไป ส่วนในครั้งต่อไป ปี 2025 คนไทยก็เตรียมวางแผนไว้ได้เลย เพราะงานจะมาจัดที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นนี่เอง : >
เตรียมตัวไปงานยังไงให้คุ้ม
การวางแผนไปเดินงาน World Expo ที่เราแชร์ได้ ก็มาจากประสบการณ์เพียงครั้งเดียวของเรานี่แหละ ฮ่าๆ ที่ต้องเกริ่นแบบนี้เพราะว่า เราไม่รู้เลยว่าเจ้าภาพในปีถัดไปเค้าจะบริหารจัดการอย่างไร เช่น การเดินทาง ผังงาน สถานที่ อาหารการกิน การรอคิวเข้า Pavilion ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งหากบางส่วนอาจจะช่วยทำให้มีส่วนในการตัดสินใจอะไรได้บ้างก็จะยินดีมากๆ เลยค่ะ : >
- Your Must-Visit Pavilions – อันดับแรก เล็งและทำลิสต์คร่าวๆ ไว้เลยว่ามี Pavilion ของประเทศไหนที่ “ต้องไปดู” ให้ได้ อาจจะหาข้อมูลจาก Official website มาก่อนว่าแต่ละประเทศเค้ามีอะไรน่าสนใจ หรือไม่ก็เป็นประเทศที่เราอยากไปดูอยู่แล้ว ก็ควรจะลงลิสต์ไว้ ถัดมาจะเป็นประเทศรองๆ ที่ถ้าได้เข้าก็ดี เช่น อาจจะมีประเด็นที่เราสนใจประมาณนึงแต่ไม่ได้ว้าวมาก และสุดท้าย คือประเทศที่ถ้าผ่านก็เข้าไปดูหน่อยก็ได้ แต่ถ้าเหนื่อยแล้วไม่ได้เข้า ก็ไม่เสียใจ ทั้งหมดนี้หากเราเห็นแผนที่ภายในงานก่อนวางแผนการเดินทางก็จะดีมากๆ เพราะเราสามารถที่จะประเมินจำนวนวันที่จะอยู่ที่นั่นได้คร่าวๆ ค่ะ
- วันและเวลา – เมื่อเราได้ลิสต์ Pavilion ที่เราอยากเข้าตามเลเวลต่างๆ แล้ว เราก็มาวางแผนว่าจะใช้เวลากี่วัน อย่างน้อยสองเลเวลแรกควรจะเก็บให้ครบ หากมีมาก ก็ยิ่งใช้วันมาก และอีกปัจจัยนึงที่อาจทำให้ท้อได้คือการต่อคิว เพราะยิ่งเป็นประเทศที่ว้าวมากๆ Pavilion ใหญ่ๆ อลังการ แสงสีเสียงจัดเต็ม คนจะต่อคิวกันยาวมากกกกก บางประเทศจำกัดจำนวนคนต่อรอบ เพราะต้องใช้คนพาเดินและอธิบาย บางประเทศปล่อยเดินเองแต่มีคนอยากเข้าเยอะมาก ถึงแม้ว่าจะมีแอปให้จองคิวล่วงหน้า แต่ก็อาจจะเต็มหรือไม่ให้จองก็เป็นได้เช่นกัน เช่นของประเทศญี่ปุ่น ต้องยืนต่อแถวรอเองด้านนอกประมาณชั่วโมงกว่า และนั่งรอด้านในอีก รวมๆ เกือบสองชั่วโมงในการรอคิวเข้า ทั้งที่คิวไม่ได้ยาวมาก (เพราะคนก็ไม่อยากยืนรอนานๆ นั่นแหละ) หากเจอแบบนี้ ก็อาจจะเก็บไว้ไปวันท้ายๆ ที่ไม่ต้องรีบมากๆ แล้ว หรืออีกเคสนึงที่เราเจอคือ Pavilion ของเยอรมนี วันนั้นเป็นวันชาติของเค้า แล้วปกติคนเยอะมาก แต่วันที่เราว่าจะเข้าไปเค้าดันปิดเพราะเป็นวันหยุดของประเทศเค้า วันนั้นก็อดเข้าไปโดยปริยาย ดังนั้นควรเผื่อเวลาไว้อย่างน้อยประมาณ 3 วันในการเดินงานนี้ และไปแต่เช้าหากอยากจะเก็บให้เยอะที่สุด แต่ถ้าไม่ซีเรียส ไปช่วงเย็นก็ดี เพราะอากาศน่าเดินกว่า ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอากาศและฤดูกาลของแต่ละประเทศอีกทีนะคะ
- จองตั๋วสิคะรออะไร – ได้จำนวนวันคร่าวๆ แล้วก็จองตั๋วเลยค่ะ วันเข้างานที่แนะนำให้จองคือ Weekday หรือวันทำงานของคนประเทศนั้น (UAE ก่อนหน้านี้จะหยุดศุกร์ เสาร์) คนจะไม่หนาแน่นเท่ากับวันหยุด และอาจจะได้ราคาถูกกว่าด้วย โปรโมชั่นใดๆ ขอไม่เล่าละกัน เพราะงานมันจบไปแล้ว รอดูของปี 2025 อีกทีดีกว่าเนอะ
- เสื้อผ้าหน้าผมก็ต้องพร้อมนะ! – แน่นอนว่างานแบบนี้ในยุคนี้มันต้องมีจุดถ่ายรูปว้าวๆ แน่นอน การแต่งตัวก็จัดเต็มได้ประมาณนึง แค่อย่าให้พะรุงพะรังมากก็พอ เพราะเราต้องท้าแดด ท้าลม ท้าแอร์ ท้าละอองน้ำใน Pavilion สลับไปมา ก็เอาชุดที่ใส่สบาย คล่องตัว รองเท้าผ้าใบแบบเดินสบายสุดๆ ไปเลย ขวดน้ำขนาดพกพา หมวก แว่นกันแดด powerbank เตรียมให้พร้อม ในงานที่ดูไบมีจักรยานไฟฟ้าให้เช่าขี่ในงานด้วย ซึ่งถ้าที่ญี่ปุ่นมีด้วยก็จะดีมากๆๆๆๆๆ เพราะว่าเราลองเดินเอง 100% ไปวันนึง เพลียมาก ท้อมาก ปวดเท้ามาก มีจักรยานจะช่วยให้เราเดินทางไปอีกมุมของงานได้เร็วขึ้นมาก เพียงแต่ว่าก็ต้องสังเกตว่ามีจุดจอดในโซนนั้นมั้ย บางทีการเดินอาจจะเสียเวลาน้อยกว่า
- อาหารการกิน – สำหรับการจัดงานของดูไบ เราว่าหาของกินภายในงานค่อนข้างยาก นอกจากซุ้มเล็กๆ ที่มีอยู่ประปรายก็จะมีบาง Pavilion ที่มีร้านอาหารของตัวเอง เช่น ญี่ปุ่นมีร้านซูชิสายพานจริงจังแบบกินอิ่มนั่งสบาย ใครจะกินร้านนี้ก็ต้องมาลงคิวไว้เพราะคนเข้าไม่หยุด สวีเดนก็มีร้านคาเฟ่แบบในอิเกียยกมาเลย มีที่ให้นั่งกินแล้วดูวิวจากชั้นสองได้ ไทยก็มีร้านอาหารไทยมาด้วยเหมือนกัน เป็นต้น แต่ก็ใช่ว่าจะรองรับคนได้ทั้งงาน เพราะฉะนั้นเราแนะนำว่าเตรียมของว่างเล็กๆ พกไปด้วยก็ดีค่ะ
เข้างานกัน!
อันดับแรก เมื่อเข้างานมาแล้วเราก็ตรงไปที่ซุ้มขายของก่อน เพื่อไปขอแผนที่งานและซื้อ Expo 2020 Dubai Passport เอาไว้เก็บตราประทับว่าเราได้เข้า Pavilion อะไรไปแล้วบ้าง ส่วนใหญ่เค้าก็จะออกแบบเป็นรูปเหมือน Pavilion ของเค้านั่นแหละ

ด้วยความที่ก็ไม่ได้ศึกษาผังงานมาก่อน พอได้แผนที่ก็มานั่งเลือกกันว่าอยากไปดูของประเทศไหนบ้าง แล้ววางแผนการเดิน บางอันพอเดินผ่านแล้วเห็นคนต่อแถวเยอะก็แปะไว้ก่อนบ้าง เอาอันที่ไม่ต้องรอนานก่อน บางอันอย่างของเกาหลีใต้ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจ แต่พอเดินผ่าน Pavilion เค้าแล้วว้าวมากมาแต่ไกล เลยเดินเข้าไปดู ก็คือคิวยาวเว่อร์ เลยต้องเก็บไว้ใน waiting list สำหรับพรุ่งนี้ละ
ต่อจากนี้จะเป็นภาพรัวๆ แบ่งตามประเทศนะคะ ซึ่งก็ต้องขอออกตัวก่อนว่าอาจจะจำรายละเอียดเนื้อหาไม่ได้หมด เพราะก็นานมากแล้วจริงๆ ฮ่าๆ แต่ถ้าอยากรู้ที่มาแบบถูกต้องก็ไปอ่านเพิ่มได้จากที่นี่เลยจ้า
United Kingdom – เป็น Pavilion ที่งงสุดว่าให้เข้ามาดูอะไร ด้านนอกดูน่าสนใจมาก แต่พอเดินวนขึ้นไปจนเข้าไปข้างใน ก็เป็นตามภาพข้างล่าง แล้วก็เป็นบันไดลงทางออก จบ!
Finland – ชอบความเรียบของอาคารตามสไตล์ชาวฟินแลนด์ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากกระโจมของชาวอาหรับที่สร้างจากหิมะ (น่ารักเนอะ >_<) ข้างในเน้นเนื้อหา การนำเสนอก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นมาก จะมีตอนโถงทางออกที่ถ่ายรูปสวย
UAE – Pavilion เจ้าภาพ ก็จะมีความใหญ่โตอลังการเป็นพิเศษ และก็คิวยาวมากด้วย ซึ่งการจัดคิวที่ Pavilion นี้ก็จะมีความเก๋นิดนึงตรงที่เมื่อเราจองคิว เราก็จะได้หมายเลขรอบที่จะเข้าของเรา เมื่อถึงเวลา เค้าจะปล่อยคิวรอบเราเข้าไปภายในบริเวณของ Pavilion แต่ยังเข้าอาคารไม่ได้ เราต้องนั่งรออยู่บริเวณสวนด้านนอก ซึ่งก็จะมีชาร้อนและที่นั่งพักตามสไตล์ชาวอาหรับให้นั่งเล่นรอไปก่อน ที่สวนนี้จะมีเสาที่มีตัวเลขเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราต้องสังเกตว่าถ้าที่เสาเป็นเลขของเรา ก็ค่อยเดินเข้าอาคารได้
ทางเดินสู่ตัวอาคารก็คือไกลมาก แต่ก็สวยอลัง จุดนึงที่ชอบสุดของ UAE Pavilion คงจะเป็นการนำเสนอประวัติศาสตร์ของเค้าบนทะเลทรายจำลอง ซึ่งเค้าเอาทรายจากทะเลทรายมากองให้เหมือนในทะเลทรายจริงๆ แล้วก็ฉายโปรเจคเตอร์ลงบนสันทราย มันเรียบง่ายแต่สะท้อนความเป็น UAE ได้เก๋มาก
Switzerland – ใครมองไม่เห็น Pavilion นี้คือต้องโดนตี ฮ่าๆ เพราะเค้าใช้สีแดงกระแทกตาเรามาแต่ไกล แบรนด์ชัดมากด้วยพรมสีแดงด้านหน้าที่มีสัญลักษณ์และชื่อประเทศแบบกลับด้านอยู่บนพรม เมื่อเราเดินเข้าไปตรงกลาง เราจะเห็นชื่อและสัญลักษณ์แบบถูกด้านบนตัวอาคารที่เป็นกระจกสะท้อน แต่ยืนถ่ายรูปตรงนั้นนานไม่ได้ ร้อน!
Japan – ที่สุดของการรอคิวต้องยกให้เค้าเลย อย่างที่เล่าไปตอนต้น ถ้าอดทนไม่พอก็ไม่ต้องรอ ฮ่าๆ เพราะในระหว่างที่แถวคิวขยับไปทีละนิด ก็มีคนถอดใจไปบ้างเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เรามาเก็บ Pavilion นี้ในวันสุดท้าย ก็เลยไม่เร่งรีบ และเตรียมน้ำ เตรียมใจมาเพื่อรอเลย แต่ก็คุ้มนะ คือเข้าใจเลยว่าทำไมรอนานมาก เพราะตัวนิทรรศการเค้าใช้คนในการช่วยเล่าเรื่องและบิวด์ให้คนมีส่วนร่วม จำนวนคนในแต่ละรอบจึงไม่เยอะเพื่อให้ดูแลได้ทั่วถึง แถมเรื่องที่พี่แกนำเสนอก็นะ ยาวทีเดียว แต่ก็คุ้มที่รอคิว
เมื่อได้คิวให้เข้าแล้ว ก็ต้องไปนั่งรอเพื่อเตรียมอุปกรณ์สำหรับเข้าชม สิ่งที่ได้มาเป็น smartphone (มั้ง ฮ่าๆ) กับหูฟังของ Sony เราต้องใส่เจ้านี่ไว้ตลอด เพราะเค้าจะสื่อสารกับเราผ่านสิ่งนี้ ถ้าดูในคลิปก็อาจจะไม่รู้ว่าในหูเค้าสั่งให้เราทำอะไรบ้าง ฮ่าๆ
Republic of Korea – เกาหลีเกาใจ เล็งไว้ตั้งแต่วันแรก ก็เลยกดจองคิวไว้ล่วงหน้า เลยไม่ต้องเสียเวลาต่อคิว ด้วยความที่เค้าอยู่ในโซน Mobility การนำเสนอเนื้อหาของ Pavilion นี้ก็จะมีการเคลื่อนไหวต่างๆ มาเกี่ยวข้อง บวกกับจุดขายด้าน entertainment และเทคโนโลยีการขนส่ง การเดินทางต่างๆ ของเค้าก็ค่อนข้างไปด้วยกันได้ จุดที่ทำให้คนสนใจสุดก็น่าจะเป็น Dynamic facade ที่กล่องพวกนี้จะหมุนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และยิ่งตอนกลางคืนจะมีไฟที่กล่องด้วย สวยมาก

Poland – อีกหนึ่ง Pavilion ที่อยู่ในโซน Mobility และเล่นเรื่องนี้ได้ดีก็คือโปแลนด์ โต๊ะนี้ชื่อว่า The Polish Table ความพิเศษของโต๊ะนี้คือการเปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นแสงไฟ ที่รอบๆ โต๊ะจะมีเสาไมค์ขึ้นมาให้เราส่งเสียงออกไป ยิ่งส่งเสียงพร้อมกันเยอะๆ ดังๆ แสงไฟก็จะพุ่งออกมาเชื่อมกับของคนอื่นและไหลไปจนถึงเพดาน
Germany – นี่คืออีกหนึ่ง Pavilion ที่ต้องใช้ความอดทนเช่นกัน จึงได้มาเอาวันที่สาม แต่ก็ไม่โหดเท่าญี่ปุ่น เพราะแม้ว่าแถวจะยาวแต่ก็เดินขยับไปเรื่อยๆ ซึ่งที่ว่าต้องเข้าให้ได้เพราะมันมีไฮไลต์ข้างใน มันจะเป็นชิงช้าที่ใช้เป็น symbolic ว่าหากทุกคนเชื่อในสิ่งเดียวกัน และขับเคลื่อนไปด้วยกัน สิ่งที่ฝันก็จะเกิดขึ้นได้นั่นเอง

Brazil – Pavilion นี้มองจากด้านนอกจะไม่รู้สึกว่าเป็นของบราซิลเลย ด้วยตัวอาคารเป็นทรงกล่องขนาดใหญ่สีขาว เปิดช่องว่างด้านล่างเล็กน้อยให้ความรู้สึกเหมือนเจ้ากล่องนี้ลอยอยู่เหนือพื้น เมื่อเดินเข้าไปก็จะเจอกับแอ่งน้ำขนาดใหญ่ กินพื้นที่ประมาณครึ่งนึงของ Pavilion ตรงกลางมีเปลตั้งอยู่ ให้คนเดินไปนั่งเล่น นอนเล่นได้ เรียบง่ายและน่ารักมาก ซึ่งการออกแบบของพื้นที่นี้ก็คือ การจำลองบรรยากาศลุ่มน้ำแอมะซอนมาไว้ที่นี่นั่นเอง





มาที่ส่วนอื่นของงานกันบ้าง จริงๆ ก็มีเยอะมาก แต่ว่าอาจจะไม่ได้ถ่ายรูปด้วย และก็จำรายละเอียดได้ไม่ชัดแล้วด้วย ก็ขอยกอันที่เด่นๆ และส่วนตัวชอบมากๆ มาเล่าละกันเนอะ
Water Feature – โซนนี้เป็นโซนส่วนกลางของงาน มองจากด้านนอกก็จะไม่เห็นว่าเป็นอะไร เพราะมันเหมือนเป็นกำแพงสูงมากล้อมพื้นที่ไว้เป็นวงกลม หากเข้าไปช่วงค่ำแบบเรา ตรงนี้จะมืดมากแบบมองไม่เห็นกันว่าใครเป็นใคร แต่มีคนมายืนรออยู่เต็มพื้นที่เลย พอได้เวลาก็จะมีเสียงเพลงขึ้นและน้ำก็พุ่งลงมาจากขอบกำแพงด้านบน เป็นน้ำจริงๆ พุ่งออกมา ไม่ได้ไหลเอื่อยๆ ซึ่งถ้ากำแพงนี้มันไม่พิเศษ น้ำก็จะต้องไหลท่วมลงมาที่พื้นแล้ว แต่กำแพงนี้มันไม่ธรรมดา เพราะมันมีระบบดูดน้ำกลับบริเวณปลายด้านล่างก่อนจะถึงพื้น ซึ่งความเร็วและปริมาณน้ำก็มีการคำนวณมาแล้วให้พอดี รวมถึงเพลงประกอบ แสงสีต่างๆ ก็ประกอบกันลงตัวมากๆ


ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจาก 29 Pavilions ในสามวัน มีทั้งเล็กบ้างใหญ่บ้างรวมๆ กัน ยังมีอีกหลายอันที่อยากเข้าแต่สังขารไม่ไหว เช่น จีน แคนาดา สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ อียิปต์ อินเดีย เป็นต้น นี่คือที่ลิสต์ไว้แต่อ่อนล้าเต็มที ซึ่งถ้าอยากเก็บมากกว่านี้ อาจต้องอยู่เป็นสัปดาห์ เพราะไปหลายวันติดกันก็พังเหมือนกัน
โดยรวมเท่าที่ได้เข้าไปดูทั้งหมด มันก็จะมีเทคนิคการนำเสนอบางอย่างที่หลายๆ ประเทศใช้คล้ายๆ กัน เช่น การฉายโปรเจคเตอร์บนวัตถุทรงกลม (ซึ่งก็ใช้เล่าเรื่องเกี่ยวกับโลกอะแหละ), การฉายภาพขึ้นไปด้านบนแล้วให้คนนอนดู, การใช้ม่านน้ำ ละอองน้ำสร้างบรรยากาศ (เข้าใจว่าน่าจะอยากให้คนเข้ามารู้สึกเย็นสดชื่นด้วย เพราะข้างนอกร้อน), บ่อบอล เป็นต้น แต่บางประเทศอย่างเช่นนอร์เวย์ ที่ไม่ได้มีความอลังในการนำเสนอมาก เน้นเนื้อหาล้วนๆ ก็ดีเช่นกัน ทำให้เราได้ฟังสิ่งที่เค้าต้องการนำเสนอจริงๆ ไม่ต้องมีอะไรมาเคลือบมาก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศต้องการสื่อสารภาพลักษณ์ของตัวเองให้เป็นแบบไหน
คิดว่าคราวหน้าก็คงไม่พลาด ต้องไปให้ได้แน่นอนและคงอยู่ยาวหน่อยเพื่อให้เก็บได้ครบ สำหรับคนเรียนออกแบบมาอย่างเรา มันเหมือนได้ไปเปิดหูเปิดตา อัปเดตสิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเอง และที่สำคัญ มันเหมือนได้เที่ยวรอบโลกในเวลาวีคเดียว ได้รู้ว่าประเทศไหนคิดอะไรอยู่ ทำอะไรเจ๋งๆ บ้าง แล้วเอามาอวดเพื่อน รอดูว่าปี 2025 ที่โอซาก้าจะว้าวขนาดไหน (Apr 13 – Oct 12, 2025) ใครอยากแอบส่องความเคลื่อนไหวก่อนก็ไปที่เว็บไซต์เค้าเลยค่ะ แล้วเจอกันนะคะ : >