2018D_KB: ดำน้ำคนเดียวที่เกาะโคโมโด แถมแวะเที่ยวสวย ๆ ที่บาหลี

Published by

on

นอกจากการท่องเที่ยวบนบกแล้ว อีกโลกนึงที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปก็คือใต้น้ำ ความฝันของนักดำน้ำทุกคนก็คงไม่ต่างกัน คืออยากจะไปทุกที่ที่เค้าว่าสวย เห็นปลาทุกชนิดที่เค้าว่าเจ๋งๆ ซึ่งในทะเลไทยนั้นหาได้ยาก เราก็เลยพยายามฝึก skill ต่างๆ ให้มีความมั่นใจมากขึ้นจากการดำน้ำในทะเลไทย จนถึงจุดที่เอาล่ะ ได้เวลาที่จะออกสู่น่านน้ำอื่นบ้างละ แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะเริ่มที่ไหนดี ที่ๆ เค้าว่ากันว่าสวยๆ ก็แพงเหลือเกิน และส่วนใหญ่ต้องนอนเรือ เราเลยเจอแหล่งข้อมูลที่เราคิดว่าเป็นตัวช่วยแนะนำที่ดี และใช้ตลอดในการหาที่ดำน้ำตามช่วงที่เราว่างก็คือ PADI Travel เราจึงได้ประเดิมการดำน้ำนอกเขตทะเลอันดามันด้วยทริปโคโมโดนี้เอง

การวางแผนการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ให้เสียเที่ยว เนื่องจากไม่ว่ายังไงเราต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่บาหลีอยู่แล้ว ขากลับจึงแวะเที่ยวบาหลีวันนึงเต็มๆ แถมค่าตั๋วกลับตอนกลางคืนก็ถูกกว่า คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

2018S_KB_Overview

ถึงแม้จะเป็นคนรีวิว แต่ไม่ชอบอ่านรีวิวก่อนเดินทางมากนัก เพราะถ้ารู้หมดทุกซอกมุมก็จะไม่มีอะไรไว้ให้ตื่นเต้นจริงๆ ดังนั้นทักษะด้านดำน้ำสำหรับ dive site นี้ที่ในเว็บบอกไว้ก็คือ ควรจะผ่าน Advance Open Water มาแล้วบวกกับผ่านการฝึก Drift Dive มา แค่นั้น ซึ่งเราผ่านทั้งสองข้อ เลยไม่ได้กังวลอะไรมาก แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เอ๊ะนิดหน่อยคือ ทาง dive shop ไม่สามารถบอกเราได้ว่าวันที่เราจองนั้นเราจะได้ไปดำที่ dive site ไหนบ้าง จะทราบตอนวันที่ออกเรือเลยเนื่องจากความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ ในใจก็คิดขนาดนั้นเลยหรอวะ!?” … ซึ่งเอาเข้าจริงก็ขนาดนั้นเลยแหละ!!!

Day 1

เส้นทางการไปเกาะโคโมโดนั้นเราต้องนั่งเครื่อง 2 ต่อ DMK-DPS(Bali)-LBJ(Labuan Bajo) โดยเที่ยวบิน DPS-LBJ เราต้องจองผ่าน Traveloka แยก แต่ถ้าไม่อยากผ่านทางบาหลีก็สามารถไปผ่านทางจาการ์ตาได้เช่นกัน

เหตุที่ต้องมาแลนด์ดิ้งที่เกาะลาบูอัน บาโจ ก็เพราะตัวเกาะโคโมโดจริงๆ มันเป็นพื้นที่อนุรักษ์ บางเกาะอาจจะมีรีสอร์ตตั้งอยู่บ้างแต่ไม่ได้เป็นที่อยู่อาศัยจริงๆ เกาะนี้เท่าที่อยู่มาสามวันก็พอจะบอกได้คร่าวๆ ว่าบริเวณที่ใกล้ท่าเรือนั้นมีคนอาศัยหนาแน่นมากแต่ไม่ค่อยได้รับการดูแล ถนนหนทางไม่ค่อยดีและอยู่ระหว่างการขยายถนน ฝุ่นเยอะมาก ทางเท้าสำหรับคนเดินนี่ลืมไปได้เลย ก็เลยแอบช็อกเบาๆ เมื่อมาถึงวันแรก แต่การเดินทางทั้งขาไปและขาออกจากสนามบินก็สามารถเรียก taxi ได้ในราคาไม่แพง สามารถสบายใจได้ค่ะ

Day 2-3: Diving Trip

เช้า 8.00 . ตามเวลานัดให้มารวมตัวกันที่ร้านดำน้ำ Uber Scuba Komodo ซึ่งโดยทั่วไปที่ไทยก็เป็นแค่กันรวมตัวให้ครบจำนวนและออกเดินทางไปที่ท่าเรือด้วยกัน แต่ที่นี่มีสิ่งพิเศษนิดหน่อยตรงที่บนกระดานไวท์บอร์ดเล็กๆ ด้านหลังจะมีการลงชื่อนักดำน้ำทุกคนของแต่ละวัน ชื่อ Dive Master ที่รับผิดชอบตามมาหลังช่องชื่อของเรา และช่องสุดท้ายคือจำนวนไดฟ์ของนักดำน้ำแต่ละคน ซึ่งจากทั้งหมดในวันนั้น เรามีจำนวนไดฟ์น้อยสุด แค่ 24 ไดฟ์เท่านั้น จึงแอบประหม่าขึ้นมานิดหน่อย และมาเพิ่มขึ้นตอนจะลงไดฟ์แรกที่ The Cauldron

ด้วยความไกลของจุดดำน้ำทำให้ที่โคโมโดนี้จะมีแค่วันละ 3 ไดฟ์เท่านั้น เช้า 2 ไดฟ์ และบ่าย 1 ไดฟ์ เรือที่ใช้ออกทริปนั้นจากการประเมินด้วยสายตาหน้าเรือจะหน้าแคบกว่า เตี้ยกว่า แต่อากาศถ่ายเทมากกว่าเรือของไทย ที่สำคัญคือสะอาดกว่ามากโดยเฉพาะห้องน้ำ ของไทยทุกลำเท่าที่เคยไปมาชอบมีกลิ่นฉี่ เข้าห้องน้ำทีเมาทั้งคลื่นทั้งกลิ่นฉี่เลย แต่เรื่องอาหารนั้นต้องยกให้พี่ไทยไป เพราะทั้งคาว หวาน ผลไม้ เครื่องดื่ม อินโดฯ ต้องแพ้ไปค่ะ ฮ่าๆ

ก่อนจะเล่าเรื่องทริปจะขอเล่าคร่าวๆ เกี่ยวกับเกาะโคโมโดก่อนว่า บริเวณนี้มีชื่อเสียงมากเรื่องกระแสน้ำ (Currents) ทุกไดฟ์ที่เราลงกระแสน้ำแรงทุกไดฟ์ แต่ความยากง่ายขึ้นอยู่กับทิศทางการดำและสภาพพื้นที่ใต้น้ำ เหตุนี้เค้าจึงระบุว่าให้ผ่านการฝึก Drift Dive มาก่อน แต่ถ้าไม่เคยฝึกและอาจจะเพิ่งดำมาไม่ถึง 10 ไดฟ์ก็ไปได้เหมือนกัน แต่เค้าจะจัดให้ไปที่ที่ง่ายขึ้นและ Dive Master จะคอยพาเราไป หรือสามารถแจ้งล่วงหน้าไปก่อนได้ว่าเราไม่ถนัดดำในกระแสน้ำแรงๆ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง ที่นี่จะความเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยมาก ถ้าหากไม่พร้อมจริงๆ จะดำที่นี่ไม่สนุกเลย

ทริปนี้เราดำน้ำทั้งหมด 5 ไดฟ์ จะขอเล่าเฉพาะไดฟ์ที่คิดว่าไม่ควรพลาดนะคะ ซึ่งก็คือ The Cauldron กับ Tatawa Besar ค่ะ ซึ่งเป็นที่ที่หากคุณชอบ Drift Dive คุณมาถูกที่แล้ว แต่สำหรับคนที่เคยเจอกระแสน้ำแรงสุดก็ที่ริเชลิวอย่างเรา ที่ The Cauldron จุดแรกของการดำวันนี้ได้เปิดโลกของ Drift Dive ให้เราอย่างแท้จริง

img_0123

จุดเด่นของ The Cauldron ก็ตามชื่อเลยค่ะ คือจะมีแอ่งลึก 24 เมตร ลักษณะเหมือนหม้อใบใหญ่ใต้ทะเล จากจุดที่ลงก็จะดำตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆ โดยที่เราจะคอยมอง dive master ไม่ให้คลาดสายตาและหลุดจากกลุ่ม เพราะน้ำแรงมากกกกกกกจริงๆ จนมาถึงจุดขายแรกของ dive site นี้คือบริเวณ plateau (ที่ดาวสีเหลืองตามรูป) เป็นจุดที่จะมีกระแสน้ำพัดย้อนขึ้นมาจากข้างล่าง!! คุณพระ!! ตามที่ได้รับบรีฟก่อนลงคือ เราจะได้บินเหมือนซุปเปอร์แมนเลย!! สิ่งที่ต้องทำเพียงแค่เกาะหินไว้ให้แน่นที่สุด ใช้ตะขอเกี่ยวตัวเราไว้กับหิน และคาบ reg. ไว้ให้แน่นที่สุด! และปล่อยตัวไปตามกระแสน้ำที่พัดเข้าใส่หน้าเราเหมือนยืนอยู่หน้าพัดลมที่เปิดเบอร์แรงสุด ในใจคือแบบ อะไรวะเนี่ย!? เพราะไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะเจออะไรเอ็กซ์ตรีมขนาดนี้ เราอยู่ตรงนั้นนานจนรู้สึกได้ว่าเมื่อไหร่จะพาไปที่อื่นซะที เพราะกลัวว่าตัวเองจะปลิวไปกับน้ำจริงๆ ระหว่างที่คิดเราก็พยายามมองไปรอบๆ หาสิ่งมีชีวิตเพื่อทำความเข้าใจกับที่นี่ คิดเล่นๆ ว่าคงไม่มีตัวอะไรอยู่ได้หรอก เพราะรอบๆ ก็เป็นหินหมด แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นตรงที่ใกล้มือเรา มันมีปลาตัวเล็กจิ๋วกำลังพยายามว่ายสู้กระแสน้ำอยู่ตรงริมหน้าผา จากที่เบื่อๆ ก็มีความสนใจขึ้นมาและเอาใจช่วยเจ้าปลาจิ๋วให้อยู่รอดต่อไปที่ริมหน้าผานี้ ฮ่าๆ

หลังจากที่ dive master เห็นว่าเรานอนเกาะหินให้น้ำพัดใส่อย่างสาแก่ใจแล้ว เค้าก็พาเราไปต่อยังจุดขายที่สอง (ที่ดาวสีเหลืองด้านล่าง) จุดนี้ตามบรีฟคือให้เราลงไปนั่งที่พื้นตรงกลางระหว่างช่องผาและมองขึ้นไปข้างบน เพื่อเสพความแรงของกระแสน้ำที่พัดลงมาใส่ตัวเรา พร้อมกับดูฝูงปลาว่ายวนอยู่ด้านบน สิ่งที่ต้องทำก็เหมือนเดิม เกาะหิน เกี่ยวตะขอ และคาบ reg. ไว้แน่นๆ

หลังจากจบไดฟ์นี้ก็ต้องสารภาพเลยว่าเรายังต้องฝึกอีกเยอะกับ Drift Dive และควรมีถุงมือด้วยเพื่อจับยึดหินต่างๆ โดยที่มือไม่แหกซะก่อน ซึ่งทุกไดฟ์หลังจากนี้ก็เป็นแบบนี้หมด จนเราเริ่มอยู่ตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับกระแสน้ำแรงๆ ได้แล้ว จนมาไดฟ์สุดท้ายที่ Tatawar Besar ที่เราได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องกังวล และเป็นอิสระได้จริงๆ

img_0133

ที่ Tatawar Besar นี้เป็น dive site ที่ไม่มีความซับซ้อน แค่ปล่อยตัวเองให้ลอยไปตามกระแสน้ำเรื่อยๆ โดยที่ต้องไม่ห่างจาก reef จนเกินไป สิ่งที่เราทำคือหันหน้าเข้าหา reef แล้วทำท่าเหมือนนั่ง ให้น้ำพัดเราไป ลอยตัว ชื่นชมความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ส่วน dive master ก็บินเป็นซุปเปอร์แมนเลย ชิลสุดๆ ไดฟ์นี้

นอกจากเรื่องกระแสน้ำที่ถือว่าเป็นจุดเด่นแล้ว สิ่งที่แตกต่างจากน่านน้ำไทยก็คงเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ ช่วงที่เราไปไม่ค่อยได้เจอสัตว์ใหญ่ โดยมากจะเป็นฝูงปลาตัวเล็กจิ๋วที่คอยว่ายวนเวียนสู้กับกระแสน้ำเฝ้ากองปะการังและดอกไม้ทะเล เจอฝูงปลาขนาดกลางบ้างแต่ไม่เท่าทะเลไทย แต่คุณเต่านี่เจอเกือบทุกไดฟ์เลย

ก่อนจะไปลุยทริปบนบก ขอย้ำเรื่องการเตรียมตัวมาดำน้ำที่โคโมโด 2 ส่วน อย่างแรกคือทักษะการดำน้ำ ถ้าอยากดำแบบไร้กังวลควรผ่านการฝึก Drift Dive มาก่อน อย่างที่สองคืออุปกรณ์ ถุงมือควรมี และถ้ามีกล้อง สายคล้องมือที่ติดกับกล้องนั้นไม่เพียงพอค่ะ ควรมีอีกเส้นนึงเป็นตะขอเกี่ยวกับ BCD ไว้ด้วย มิฉะนั้นกล้องจะหลุดลอยหายไปกับน้ำแบบเราได้ง่ายๆ ดำน้ำตามลงไปหาก็ไม่ทันแล้วค่ะ T_T

Day 4: Komodo Day Trip

ในวันพักน้ำทุกครั้งเรามักจะใช้เวลานอนเอื่อยๆ ไปเลยทั้งวัน ไม่ทำอะไร แต่คราวนี้มาต่างถิ่นก็ต้องออกไปสำรวจโลกกันซักหน่อย ก็เลยจอง Komodo One Day Trip กะว่าน่าจะชิลๆ เบาๆ ไม่เหนื่อยมากแต่ก็ผิดหมด ฮ่าๆๆ

เราจองทริปกับ Alba Cruise ซึ่งในแพคเกจก็ครอบคลุมสิ่งที่เราอยากไปคือ ไปดู Komodo Dragon และ pink beach นอกนั้นคือกำไรละ ตกลงจองเรียบร้อย ก็ได้นัดแนะเวลาที่จะมารับที่โรงแรมตอน 5.40 . ใช่ค่ะพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย ต้องตื่นเช้ากว่าไปดำน้ำอีก เห็นลางว่าความชิลได้ล่องลอยออกไปไกลความจริงเรียบร้อย

เมื่อมารวมตัวกับผู้ร่วมทริปที่เหลือทั้งหมดก็พบว่า มีเพียงเราคนเดียวที่ยังไม่รู้ว่าชะตาชีวิตวันนี้จะเจอกับอะไร แต่ทุกคนกลับดูพร้อมจะใช้พลังงานไปกับการผจญภัยวันนี้มากๆ เมื่อไปถึงจุดหมายแรก Padar Island ทุกคนเปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบสำหรับ Trekking เตรียมเสื้อ ใส่หมวก มีขวดน้ำคาดเอว ฉึบฉับ พร้อมมาก ส่วนเรานี่คีบแตะอยู่คนเดียว มีเพียงหมวกแคป แว่นกันแดด และน้ำขวดนึง ก็เดินๆ ตามเค้าขึ้นไปเรื่อยๆ แบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ด้วยความไม่ถนัดกิจกรรมแบบนี้ก็เลยเอาแค่ให้ถึงครึ่งทางก็พอ เพราะไม่ได้คาดหวังอะไรจากที่นี่อยู่แล้ว และเหนื่อยด้วย ฮ่าๆ จึงไปถึงแค่จุดพักครึ่งทาง พอหายเหนื่อยก็ได้สังเกตรอบๆ เออ มันสวยว่ะ ถูกต้องแล้วที่มาที่นี่

จุดหมายถัดมาเราจะไปพบกับคุณมังกรโคโมโดตัวจริง ซึ่งอยู่บนเกาะของตัวเองเท่านั้น ที่เกาะนี้จึงมีการจัดการอย่างดีเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมคุณมังกรโคโมโดได้อย่างปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่พาเดินพร้อมถือไม้ยาวคอยระวังหน้าระวังหลังให้พวกเรา ระยะทางที่เดินสำรวจก็ประมาณ 5 กิโลเมตร ซีนที่ชอบสุดคือบริเวณบ่อน้ำ ซึ่งคุณมังกรมักจะมาใช้เวลาพักผ่อนที่บริเวณนี้ หลังจากที่เราตื่นเต้นที่ได้เจอคุณมังกรตัวจริง เราก็แอบเห็นกวางตัวนึงซุ่มมองเหตุการณ์ต่างๆ อยู่หลังแนวต้นไม้ ไม่กล้าเดินออกมาสุงสิงข้างนอก ทราบภายหลังว่าเจ้ากวางนี่แหละคืออาหารของคุณมังกรเค้า

จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ นอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว ในตอนเช้าๆ คุณมังกรนั้นชอบเดินเล่นริมชายหาดมากๆ เป็นไปได้ว่าถ้าทริปของคุณมาเริ่มที่เกาะนี้ก่อน คุณอาจจะได้เห็นคุณมังกรทั้งเกาะออกมายืนต้อนรับที่หน้าหาดก็เป็นได้ : )

หลังจากเดินจนเหงื่อท่วมตัวมาตลอดครึ่งเช้าแล้ว เราจึงไปจอดเรือทานกลางวันกันที่ Taka Makassar ซึ่งเป็นหาดทรายสีชมพูที่โผล่ขึ้นมากลางทะเล อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ทรายสีชมพู แต่มันเป็นทรายสีขาวปกติผสมกับทรายสีแดงที่เกิดจากการแตกหักของปะการังสีแดงนั่นเอง และเรารู้ว่าคุณคิดอะไรไม่จำเป็นต้องพยายามหาขวดไปเก็บทรายนี้ให้เสียเวลา เพราะคุณจะโดนเจ้าหน้าที่ยึดไปตอนสแกนกระเป๋าอยู่ดีค่ะ ฮ่าๆ

และก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ Kanawa Island เกาะนี้เราว่าแค่นั่งเฉยๆ ดูปลาก็มีความสุขแล้ว เนื่องจากที่หน้าหาดมันจะเป็นแนวปะการังน้ำตื้น และมีปลาว่ายอยู่เต็มไปหมดโดยเฉพาะปลากระเบน สามารถมองเห็นได้จากบนสะพานเลย ส่วนบนเกาะก็มีร้านอาหาร ห้องน้ำไว้บริการ ไหนๆ ก็ขี้เกียจตัวเปียกแล้ว เลยลองสั่งอะไรมากินเล่นซะหน่อย เป็น Fruit Salad กับ Iced Lemon Tea (ชื่อตามเมนู) แต่สิ่งที่ได้คือ สับปะรด กล้วย และแตงโมหั่นชิ้น กับชาใส่นำ้แข็งหวานปะแล่มๆทำให้พอจะแน่ใจได้แล้วว่าไม่ควรสั่งอาหารนานาชาติที่นี่เลย กินอาหารพื้นเมืองเค้าดีที่สุดแล้ว เหมือนอาหารต่างชาติทุกอย่างจะถูกตีความใหม่หมด เพราะอาหารเช้าที่โรงแรมก็เช่นกัน สั่ง Scrambled egg แต่ถูกตีความใหม่ได้เป็นไข่เจียวใส่หอมใหญ่แทน ฮ่าๆ

ขอฝากอีกนิดก่อนจะย้ายเกาะไปบาหลีกัน สัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ Labuan Bajo ยังเป็น GPRS อยู่เลย พอจะใช้ WiFi ของโรงแรมมันก็ไม่ได้เร็วมาก จะอัพโหลดรูปทีนึงก็ลุ้นมาก เพราะฉะนั้น จงใช้เวลากับธรรมชาติรอบตัวให้เต็มที่ไปเลยค่ะ : )

Day 5: Rest & Relax

เราขอสารภาพว่าเราไม่เคยมีความคิดอยากจะไปบาหลีมาก่อนเลย จินตนาการเอาเองว่าไม่น่าจะต่างกับเมืองไทยเท่าไหร่ พวกรูปสถานที่ท่องเที่ยวที่เค้าถ่ายกันมาก็คงจะสวยแค่ตรงนั้นแหละ แต่ความจริงตรงกันข้ามเลย บาหลีสวยมากกกกกกกกกกก ถ้าเปรียบเทียบกับ Labuan Bajo แล้ว บาหลีก็น่าจะเป็นลูกสาวคนสวยที่สุดในบ้านที่พ่อแม่จับแต่งตัวสวยงามพาออกงานและรับแขกจากทั่วโลก เป็นเกาะที่มีทั้งโซนความเจริญและโซนธรรมชาติอยู่บนเกาะเดียว มีสัญญาณ 3G/4G ค่อนข้างครอบคลุม ถนนหนทางแม้จะเส้นเล็กแค่ไหนก็เรียบหมด ธรรมชาติค่อนข้างกลมกลืนไปกับวิถีชีวิตของผู้คน สิ่งที่ทำให้บาหลีมีเสน่ห์น่าจะมาจากความเชื่อทางศาสนาฮินดูที่ 90% ของคนบนเกาะนี้ให้ความนับถือ ทำให้มีผลต่อทั้งงานแกะสลักหินรูปเทพฮินดู สถาปัตยกรรม วัด ที่อยู่อาศัย พิธีกรรมต่างๆ เป็นเหตุให้บาหลีมีมนต์สะกดให้คนทั้งโลกต้องมาที่นี่สักครั้งในชีวิต

ไหนๆ ก็มาถึงที่ๆ สวยมากๆ ขนาดนี้ เราเลยเลือกพักโรงแรมที่สวยสุดๆ ไปเลย และก็ไม่ผิดหวังที่เลือก Four Seasons Resort Bali at Sayan วันนี้เราเลยขอไม่ออกไปไหน ใช้เวลาในรีสอร์ตให้คุ้ม กิน เดินเล่น ถ่ายรูป นอน จนหมดวัน

Day 6: Discover Bali

สำหรับวันสุดท้ายนี้ ตื่นมาแล้วไม่อยากไปไหนเลยเพราะอากาศดีมากกกก แต่ก็ต้องตื่นเช้า แพคของ ทานอาหารเช้า และออกไปสำรวจบาหลีกันหน่อย

เช่นเดียวกับหลายๆ เมืองคือเค้ามักจะมี day tour เป็นแพคเกจให้เลือกเที่ยวกันอยู่แล้ว แต่เราไม่ เราเลยเลือกจ้างคนขับรถกับ Today ซึ่งเค้าก็จะเป็นไกด์ให้เราด้วย เพียงแค่บอกสถานที่ที่เราอยากไปเพื่อปรึกษาเรื่องความเป็นไปได้และราคากับเค้าก่อนทางอีเมล พอถึงวันเดินทาง ทางบริษัทก็จะส่งชื่อกับเบอร์ติดต่อมาให้เรา และมารับเราที่โรงแรมตามเวลานัด

เนื่องจากเรามีเวลาเพียงวันเดียว แต่ในบาหลีนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก เราจึงคัดแต่ที่ที่สวยดึงดูดและอยากไปที่สุดมาเพียง 4 ที่เท่านั้น จุดหมายแรกที่อยากไปมานานแล้วคือ John Hardy Boutique เป็นแบรนด์เครื่องประดับที่ดังมากของอินโดนีเซีย โดยที่นี่จะมีทั้ง boutique shop และโรงงานช่างฝีมืออยู่ด้วย เราสนใจในบรรยากาศของเค้าก็เลยอยากไปดู แต่ประเมินเค้าต่ำไปหน่อย เพราะพนักงานที่นี่ต้อนรับดีมาก คอยเดินแนะนำเราตลอดจนเรารู้สึกเขินที่ไม่ได้ตั้งใจมาซื้อของเค้าเลย ฮ่าๆ ถ้าหากพอมีเวลา เค้ามี Workshop Tour ให้จองด้วยนะคะ : )

สถานที่ถัดมาคือ Uma Pakel ความตั้งใจแรกของเราเพียงแค่อยากจะได้รูปนั่งชิงช้ากลางฉากหลังป่าสีเขียว แต่เมื่อมาถึงที่จริงๆ มันไม่ใช่แค่นั้น แต่ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมและการเกษตรของชาวบาหลี หลักๆ ก็จะเป็นกาแฟขี้ชะมด (luwak coffee) พอไปถึงก็จะมีไกด์ของที่นี่นำนักท่องเที่ยวเดิน คอยอธิบาย และถ่ายรูปให้ ส่วนชิงช้าและรังนกยักษ์เหมือนเป็น gimmick ของที่นี่ให้คนมาถ่ายรูปเท่านั้นเอง ทั้งหมดนี้เสียแค่ค่ากาแฟขี้ชะมด (ที่เห็นในรูปมีหลายถ้วยนั้นชิมฟรีหมด ยกเว้นถ้วยใหญ่ทางซ้ายที่เสียเงิน) และค่านั่งชิงช้าเท่านั้น เราจึงให้ทิปน้องไกด์ไปอีกนิดหน่อยด้วยที่ดูแลเราดีเหนือความคาดหมาย : )

แล้วเราก็นั่งรถต่อมาอีกหน่อยก็ถึงนาขั้นบันได Tegalalang ของจริงสวยมากกกกกกกกกกกกก ยอมรับว่าในใจคิดว่านี่ของจริงรึป่าว ทั้งหุบเขามันเขียวสวยเท่ากันไปหมด ต้นข้าวออกรวงสีทองทุกต้นทุกขั้นเหมือนกันหมด และช่วงเวลาที่ทำให้นาสวยที่สุดคือช่วงที่ฟ้าเปิดมีแดดส่องลงมาที่นาข้าว คุณพระ!! มันเกินไปแล้ว!! ซึ่งถ้ามีแรงเดินกันก็อยากให้ลงไปถึงข้างล่างด้วย แต่ตอนนั้นทั้งร้อนและหิวด้วย ซึ่งแน่นอน ร้านอาหารที่สามารถนั่งชมวิวได้ก็มีมากมาย เราจึงได้นั่งทานกลางวันพร้อมกับชมวิวของ Tegalalang ไปด้วย

และก็มาถึงที่สุดท้ายของวัน Lempuyang Temple ที่นี่ค่อนข้างไกลจากเพื่อนมาก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าในการขับรถ แต่คุ้มค่ามากๆ พอมาถึงที่หน้าวัดจะมีซุ้มเล็กๆ ให้เสียค่าเข้าและแต่งตัว ทุกคนที่ขึ้นไปจะต้องนุ่งโสร่งไม่ว่าหญิงหรือชาย หรือถ้าใส่กางเกงขายาวมาก็ยังต้องนุ่งโสร่งทับอยู่ดี ผู้หญิงที่ใส่เสื้อแขนกุดก็จะต้องมีผ้าคลุมไหล่อีกผืนด้วย

ความเจ๋งของวัดนี้คือประตูสวรรค์ มันดูเหนือจริงมากแต่มันก็คือของจริง ตัววัดสร้างอยู่บนเขาซึ่งมองจากบันไดขั้นล่างสุดจะมองไม่เห็นตัววัด เห็นแต่ประตู มันก็เหมือนเราเดินขึ้นสวรรค์จริงๆ พอขึ้นไปถึงประตูก็จะเจอตัววัดตั้งอยู่ แต่ห้ามนักท่องเที่ยวปีนขึ้นไป เมื่อมองกลับมาที่ประตู ก็จะเจอกับภูเขาไฟชื่อ Agung อยู่ฝั่งตรงข้ามพอดีกับช่องประตูเป๊ะ จึงเป็นที่มาของภาพสวยๆ เหล่านี้ค่ะ : )

สำหรับทริป 1 วันในบาหลีนี้เราเต็มอิ่มมาก ไกด์ที่ขับรถให้ก็บริการดีมาก ค่าบริการรวมค่าน้ำมันแล้วอยู่ที่ 750,000 IDR เราจึงบวกทิปให้เค้าด้วย เป็นน้ำใจที่คอยดูแลอย่างดีทั้งวันจนมาส่งถึงสนามบิน ตลอด 6 วันที่ได้เที่ยวครั้งนี้ถือว่าครบถ้วนทุกรูปแบบ พร้อมกับกลับมาโดยที่ไม่ต้องผ่อนบัตรเครดิตตามหลังเพราะที่นี่ค่าครองชีพไม่แพงและเน้นจ่ายเงินสด จึงรู้สึกสบายตัวมากกว่าทริปใดๆ ที่ไปมา ฮ่าๆ

และก็ขอจบทริปโคโมโดบาหลีไว้เท่านี้ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ แล้วเจอกันทริปหน้าค่ะ : )

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Website Built with WordPress.com.