2017S_RHSACHB: ทำตัวเป็นเด็กอีกครั้งที่ LEGO HOUSE เมือง Billund

Day 10: LEGO House

ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้ว แต่ก็ยังต้องเปลี่ยนที่นอนจนคืนสุดท้าย นอกจากเสื้อผ้าที่ขนมาจะหนักพอตัวอยู่แล้ว ก็ยังมีของที่ชอปปิ้งช่วยเพิ่มน้ำหนักในกระเป๋าเข้าไปอีก และการเดินทางไปเมือง Billund ในวันนี้ก็ทุลักทุเลประมาณหนึ่ง

ชื่อเมือง Billund อาจจะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูเลย แต่ถ้าเอ่ยถึง LEGO ทุกคนทั่วโลกต้องรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งเมืองนี้เองที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ LEGO และยังมีสวนสนุก โรงแรม รวมถึง LEGO House ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของเราในทริปนี้ การเดินทางจากโคเปนเฮเกนใช้เวลานั่งรถไฟข้ามเกาะมายังเมือง Vejle สถานีที่ลงจะเชื่อมต่อกับท่ารถบัส จากนั้นก็นั่งรถบัสต่อไปยัง Billund ซึ่งจะมีป้ายจอดชื่อ Billund Centret ที่จะใกล้กับ LEGO House ที่สุด ซึ่งเราได้จองตั๋วเข้าชมล่วงหน้าไว้แล้ว ก็ต้องไปถึงให้ทันเวลา

IMG_1435

ที่ Billund Centret คือเงียบมาก ไม่มีคนเดินผ่านแม้แต่คนเดียว ใจคิดไปต่างๆ นานา แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ เอาวะ! มาถึงขนาดนี้แล้ว จึงเดินลากกระเป๋าเดินทางตาม GPS ไปเรื่อยจนเจออาคารสีขาวหน้าตาคุ้นๆ เหมือนในรูป ซึ่งดูเวิ้งว้างกว่าที่คิดไว้ แต่ถอยไม่ได้ละ รีบพุ่งตัวเข้าไปอย่างเร็ว

LEGO House แห่งนี้ให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น The World of Creative Experiences สิ่งที่ถูกบรรจุ จัดวางอยู่ในนี้จึงเต็มไปด้วยจินตนาการที่ไม่ใช่แค่สำหรับเด็ก แต่กลับทำให้ผู้ใหญ่ได้กลับไปสนุกแบบเด็กๆ ได้อีกครั้งด้วย

IMG_1439

หลังจากฝากของทุกอย่างไว้ด้านนอกจนตัวเบาแล้ว ก็เข้าสู่จุดเริ่มต้นของที่นี่ จะเป็นบันไดวนรอบต้นไม้ใหญ่ขึ้นไป ทุกๆ อย่างที่นี่จะถูกประกอบขึ้นจากตัวเลโก้ทั้งสิ้น เราจะอึ้งกับขนาดที่ใหญ่มหึมา และก็จะยิ้มให้กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวไปพร้อมๆ กัน

คุณไดโนเสาร์ที่ออกสื่อบ่อยมาก : )

โซนนี้ชื่อ Story Lab เป็นโซนให้เด็กๆ ได้เป็นผู้กำกับสร้างฉาก สร้างตัวละคร สร้างเรื่องราวเอง ทุกโซนจะมี staff คอยชวนเล่นชวนคุยไปด้วยอย่างเช่นโซนแมลงด้านล่างนี้ (แอบตั้งชื่อเอง ฮ่าๆ)

IMG_1444

อย่างโซนแมลงนี้ พวกตัวเลโก้ที่อยู่ในบ่อก็จะเป็น element ที่มีความเป็นแมลงหรือสัตว์ปีก พอต่อเสร็จก็ให้ไปวางในเวทีกลมๆ เพื่อให้มันเต้นแข่งกัน ก็จะเห็น movement ที่แตกต่างกันจากตัวเลโก้ที่ต่อแต่ละแบบ และพอต่อเสร็จ ทุกโซนจะมีตู้หน้าตาแบบนี้ (แต่ gimmick จะต่างกัน) เพื่อให้ถ่ายรูปผลงานที่ต่อเสร็จแล้วเก็บไว้ได้ ทุกอย่างถูกคิดและเชื่อมโยงไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

และรวมถึงโซนปลาอันนี้ด้วย : )

อันล่างนี้เกมสร้างเมืองที่สอนเรื่อง Transportation

Ice Ship Game
souvenir

ยังมีอีกหลายโซนที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่ถ้าเล่าหมดก็จะไม่เหลือที่ว่างให้กับความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งส่วนตัวคิดว่าที่นี่คุ้มค่าตั๋วมากๆ Interactive ทุกโซนลื่นปรื๊ดและไม่ซ้ำกันเลย มาอยู่ได้เป็นวันๆ และก่อนออกจากส่วนจัดแสดง ที่นี่เค้าก็มีของที่ระลึกให้เราด้วย เป็นชิ้นตัวเลโก้ 6 ชิ้นที่มาพร้อมกับการ์ดหน้าตาแบบในรูป (สามารถเลือกขนาดได้ เราเลือกขนาดปกติ) เค้าอธิบายว่า ด้วยชิ้นเลโก้หน้าตาเหมือนกันเพียง 6 ชิ้นนี้ สามารถประกอบเป็นรูปต่างๆ ได้เป็นล้านๆ แบบ (รูปที่อยู่บนการ์ดคือแบบที่เราได้) ไม่เหมือนกัน

บ่ายแก่ๆ ก็ได้เวลาออกจาก LEGO House เพราะว่าเรายังต้องเดินทางไปโรงแรมซึ่งต้องนั่งรถบัสจากป้ายเดิมไปยัง Grindsted ประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางก็ปลอบใจตัวเองตลอดทางว่า เมืองนี้คงไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวแหละ มันถึงได้เงียบขนาดนี้ เมื่อมาถึงจุดจอดรถ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม Danhostel ที่เราจองไว้แล้ว ก็ลากกระเป๋าข้ามถนนมาก็เจอเลย พร้อมกับเจ้าของโรงแรมที่ยืนต้อนรับเราอยู่หน้าประตู กุลีกุจอช่วยยกกระเป๋า ทักทายด้วยชื่อเราพร้อมชื่อประเทศด้วย แหม่ ช่างใส่ใจแขกเสียจริงๆ เลย

เมื่อเข้าสู่ตัวโฮสเทลเล็กๆ นี้แล้ว คุณเจ้าของก็พาเราเดินแนะนำ นี่ห้องคุณนะ นี่กุญแจ นี่ห้องครัวนะ คุณจะซื้ออะไรมาแช่ในตู้เย็นนี้ก็ได้ นี่กาต้มน้ำ นี่ไมโครเวฟ บลาๆๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในสิบนาทีจากนั้น…เราก็ไม่เห็นหน้าคุณเจ้าของคนนั้นอีกเลย

IMG_1480

หลังจากที่วางข้าวของและเริ่มตั้งสติได้ ห้องที่เรานอนคืนนี้ เป็นห้องรวม มีเตียง 2 ชั้น 2 หลัง กับเตียงเดี่ยว 2 เตียง เท่ากับว่านอนได้ 6 คน แต่คืนนี้ มีเราคนเดียว! ทั้งโรงแรม! คือการนอนคนเดียวกับหกเตียงเนี่ย มันหลอนนะ เท่านั้นยังไม่พอ สิ่งที่คุณเจ้าของทิ้งไว้ให้ยังมีโบรชัวร์ร้านอาหารและแผนที่ของ Grindsted ไว้ให้ สำหรับช่วยเหลือตัวเองนะจ๊ะ ถ้าเธอหิว จงเดินหาเอารอบๆ นี่แหละ ซึ่งพอเดินจริงๆ ไม่มีร้านอาหารเปิดเล้ยยยย มีเพียงร้านขายผักผลไม้สด กับร้านพิซซ่าที่เปรียบเสมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย ที่พึ่งสุดท้ายของเย็นวันนั้น และเมื่อเดินกลับมาโฮสเทลอีกครั้ง จะลองมาใช้ครัวดูซักหน่อย ก็เหมือนว่าจะมีแต่ตู้เย็นที่ใช้ได้ อย่างอื่นไม่กล้าจับจริงๆ และไม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเท่าไหร่ สรุปก็คือในคืนนั้นมีเรานอนอยู่ที่โฮสเทลนั้น “คนเดียว” ถ้วน

และก็ขอจบทริป 2017S_RHSACHB ไว้เพียงเท่านี้ การเดินทาง 10 วันคนเดียวและเปลี่ยนเมืองบ่อยก็จัดว่าเหนื่อยและแพง แต่ก็คุ้มที่เติมเต็มความต้องการได้มากกว่าที่คิดไว้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าจะเดินทางคนเดียวหรือหลายคน การวางแผนที่รอบคอบให้มากที่สุดเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ควรแน่นเกินไปจนไม่เหลือพื้นที่ให้ความตื่นเต้นในการเดินทาง หรือการให้โจทย์ใหม่ๆ กับตัวเองเช่น เดินทางด้วยเครื่องบินอาจจะเร็วกว่า สะดวกกว่า แต่ลองเปลี่ยนมาเดินทางด้วย Overnight train หรือ Overnight bus ดู มันก็ได้อีกประสบการณ์นึง เป็นต้น มันจะทำให้สมองเราได้ทำงานกับสิ่งใหม่เรื่อยๆ และขยายกรอบความเป็นไปได้ในชีวิตเพิ่มขึ้น

หลังจากเดินทางทุกครั้ง จะมีความรู้สึกอยากขอบคุณตัวเองที่เป็นกำลังใจสำคัญที่พูดกับเราในหัวตลอดการเดินทางว่า อย่าท้อนะ ต้องตื่นนะ ต้องเดินต่อนะ ในช่วงกลางๆ ทริป เพราะเพิ่งมาคิดได้ว่า นี่เราต้องตื่นเช้าติดกัน 10 วัน โดยที่ทุกวันต้องออกเดินทั้งวันไม่มีวันพักนอนเล่นอยู่โรงแรม มันหนักกว่าการใช้ชีวิตปกติอีกนะเนี่ย ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เสียงในหัวจะทำให้กระเด้งตัวจากที่นอนและสองขาจะออกเดินทันที เพื่อไปยังจุดหมายในแต่ละวันให้สำเร็จ แล้วเมื่อจบทริป เราก็มีสิ่งที่ทำสำเร็จเป็นร้อยอย่างเลย เก็บไว้เป็นพลังใจในการทำงานและใช้ชีวิตต่อไป

เจอกันใหม่ทริปหน้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ : )