Day 10: LEGO House
ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้ว แต่ก็ยังต้องเปลี่ยนที่นอนจนคืนสุดท้าย นอกจากเสื้อผ้าที่ขนมาจะหนักพอตัวอยู่แล้ว ก็ยังมีของที่ชอปปิ้งช่วยเพิ่มน้ำหนักในกระเป๋าเข้าไปอีก และการเดินทางไปเมือง Billund ในวันนี้ก็ทุลักทุเลประมาณหนึ่ง
ชื่อเมือง Billund อาจจะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูเลย แต่ถ้าเอ่ยถึง LEGO ทุกคนทั่วโลกต้องรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งเมืองนี้เองที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ LEGO และยังมีสวนสนุก โรงแรม รวมถึง LEGO House ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของเราในทริปนี้ การเดินทางจากโคเปนเฮเกนใช้เวลานั่งรถไฟข้ามเกาะมายังเมือง Vejle สถานีที่ลงจะเชื่อมต่อกับท่ารถบัส จากนั้นก็นั่งรถบัสต่อไปยัง Billund ซึ่งจะมีป้ายจอดชื่อ Billund Centret ที่จะใกล้กับ LEGO House ที่สุด ซึ่งเราได้จองตั๋วเข้าชมล่วงหน้าไว้แล้ว ก็ต้องไปถึงให้ทันเวลา

ที่ Billund Centret คือเงียบมาก ไม่มีคนเดินผ่านแม้แต่คนเดียว ใจคิดไปต่างๆ นานา แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ เอาวะ! มาถึงขนาดนี้แล้ว จึงเดินลากกระเป๋าเดินทางตาม GPS ไปเรื่อยจนเจออาคารสีขาวหน้าตาคุ้นๆ เหมือนในรูป ซึ่งดูเวิ้งว้างกว่าที่คิดไว้ แต่ถอยไม่ได้ละ รีบพุ่งตัวเข้าไปอย่างเร็ว
LEGO House แห่งนี้ให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น The World of Creative Experiences สิ่งที่ถูกบรรจุ จัดวางอยู่ในนี้จึงเต็มไปด้วยจินตนาการที่ไม่ใช่แค่สำหรับเด็ก แต่กลับทำให้ผู้ใหญ่ได้กลับไปสนุกแบบเด็กๆ ได้อีกครั้งด้วย

หลังจากฝากของทุกอย่างไว้ด้านนอกจนตัวเบาแล้ว ก็เข้าสู่จุดเริ่มต้นของที่นี่ จะเป็นบันไดวนรอบต้นไม้ใหญ่ขึ้นไป ทุกๆ อย่างที่นี่จะถูกประกอบขึ้นจากตัวเลโก้ทั้งสิ้น เราจะอึ้งกับขนาดที่ใหญ่มหึมา และก็จะยิ้มให้กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวไปพร้อมๆ กัน

คุณไดโนเสาร์ที่ออกสื่อบ่อยมาก : )

โซนนี้ชื่อ Story Lab เป็นโซนให้เด็กๆ ได้เป็นผู้กำกับสร้างฉาก สร้างตัวละคร สร้างเรื่องราวเอง ทุกโซนจะมี staff คอยชวนเล่นชวนคุยไปด้วยอย่างเช่นโซนแมลงด้านล่างนี้ (แอบตั้งชื่อเอง ฮ่าๆ)


อย่างโซนแมลงนี้ พวกตัวเลโก้ที่อยู่ในบ่อก็จะเป็น element ที่มีความเป็นแมลงหรือสัตว์ปีก พอต่อเสร็จก็ให้ไปวางในเวทีกลมๆ เพื่อให้มันเต้นแข่งกัน ก็จะเห็น movement ที่แตกต่างกันจากตัวเลโก้ที่ต่อแต่ละแบบ และพอต่อเสร็จ ทุกโซนจะมีตู้หน้าตาแบบนี้ (แต่ gimmick จะต่างกัน) เพื่อให้ถ่ายรูปผลงานที่ต่อเสร็จแล้วเก็บไว้ได้ ทุกอย่างถูกคิดและเชื่อมโยงไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

และรวมถึงโซนปลาอันนี้ด้วย : )
อันล่างนี้เกมสร้างเมืองที่สอนเรื่อง Transportation


ยังมีอีกหลายโซนที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่ถ้าเล่าหมดก็จะไม่เหลือที่ว่างให้กับความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งส่วนตัวคิดว่าที่นี่คุ้มค่าตั๋วมากๆ Interactive ทุกโซนลื่นปรื๊ดและไม่ซ้ำกันเลย มาอยู่ได้เป็นวันๆ และก่อนออกจากส่วนจัดแสดง ที่นี่เค้าก็มีของที่ระลึกให้เราด้วย เป็นชิ้นตัวเลโก้ 6 ชิ้นที่มาพร้อมกับการ์ดหน้าตาแบบในรูป (สามารถเลือกขนาดได้ เราเลือกขนาดปกติ) เค้าอธิบายว่า ด้วยชิ้นเลโก้หน้าตาเหมือนกันเพียง 6 ชิ้นนี้ สามารถประกอบเป็นรูปต่างๆ ได้เป็นล้านๆ แบบ (รูปที่อยู่บนการ์ดคือแบบที่เราได้) ไม่เหมือนกัน
บ่ายแก่ๆ ก็ได้เวลาออกจาก LEGO House เพราะว่าเรายังต้องเดินทางไปโรงแรมซึ่งต้องนั่งรถบัสจากป้ายเดิมไปยัง Grindsted ประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางก็ปลอบใจตัวเองตลอดทางว่า เมืองนี้คงไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวแหละ มันถึงได้เงียบขนาดนี้ เมื่อมาถึงจุดจอดรถ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม Danhostel ที่เราจองไว้แล้ว ก็ลากกระเป๋าข้ามถนนมาก็เจอเลย พร้อมกับเจ้าของโรงแรมที่ยืนต้อนรับเราอยู่หน้าประตู กุลีกุจอช่วยยกกระเป๋า ทักทายด้วยชื่อเราพร้อมชื่อประเทศด้วย แหม่ ช่างใส่ใจแขกเสียจริงๆ เลย
เมื่อเข้าสู่ตัวโฮสเทลเล็กๆ นี้แล้ว คุณเจ้าของก็พาเราเดินแนะนำ นี่ห้องคุณนะ นี่กุญแจ นี่ห้องครัวนะ คุณจะซื้ออะไรมาแช่ในตู้เย็นนี้ก็ได้ นี่กาต้มน้ำ นี่ไมโครเวฟ บลาๆๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในสิบนาทีจากนั้น…เราก็ไม่เห็นหน้าคุณเจ้าของคนนั้นอีกเลย

หลังจากที่วางข้าวของและเริ่มตั้งสติได้ ห้องที่เรานอนคืนนี้ เป็นห้องรวม มีเตียง 2 ชั้น 2 หลัง กับเตียงเดี่ยว 2 เตียง เท่ากับว่านอนได้ 6 คน แต่คืนนี้ มีเราคนเดียว! ทั้งโรงแรม! คือการนอนคนเดียวกับหกเตียงเนี่ย มันหลอนนะ เท่านั้นยังไม่พอ สิ่งที่คุณเจ้าของทิ้งไว้ให้ยังมีโบรชัวร์ร้านอาหารและแผนที่ของ Grindsted ไว้ให้ สำหรับช่วยเหลือตัวเองนะจ๊ะ ถ้าเธอหิว จงเดินหาเอารอบๆ นี่แหละ ซึ่งพอเดินจริงๆ ไม่มีร้านอาหารเปิดเล้ยยยย มีเพียงร้านขายผักผลไม้สด กับร้านพิซซ่าที่เปรียบเสมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย ที่พึ่งสุดท้ายของเย็นวันนั้น และเมื่อเดินกลับมาโฮสเทลอีกครั้ง จะลองมาใช้ครัวดูซักหน่อย ก็เหมือนว่าจะมีแต่ตู้เย็นที่ใช้ได้ อย่างอื่นไม่กล้าจับจริงๆ และไม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเท่าไหร่ สรุปก็คือในคืนนั้นมีเรานอนอยู่ที่โฮสเทลนั้น “คนเดียว” ถ้วน
และก็ขอจบทริป 2017S_RHSACHB ไว้เพียงเท่านี้ การเดินทาง 10 วันคนเดียวและเปลี่ยนเมืองบ่อยก็จัดว่าเหนื่อยและแพง แต่ก็คุ้มที่เติมเต็มความต้องการได้มากกว่าที่คิดไว้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าจะเดินทางคนเดียวหรือหลายคน การวางแผนที่รอบคอบให้มากที่สุดเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ควรแน่นเกินไปจนไม่เหลือพื้นที่ให้ความตื่นเต้นในการเดินทาง หรือการให้โจทย์ใหม่ๆ กับตัวเองเช่น เดินทางด้วยเครื่องบินอาจจะเร็วกว่า สะดวกกว่า แต่ลองเปลี่ยนมาเดินทางด้วย Overnight train หรือ Overnight bus ดู มันก็ได้อีกประสบการณ์นึง เป็นต้น มันจะทำให้สมองเราได้ทำงานกับสิ่งใหม่เรื่อยๆ และขยายกรอบความเป็นไปได้ในชีวิตเพิ่มขึ้น
หลังจากเดินทางทุกครั้ง จะมีความรู้สึกอยากขอบคุณตัวเองที่เป็นกำลังใจสำคัญที่พูดกับเราในหัวตลอดการเดินทางว่า อย่าท้อนะ ต้องตื่นนะ ต้องเดินต่อนะ ในช่วงกลางๆ ทริป เพราะเพิ่งมาคิดได้ว่า นี่เราต้องตื่นเช้าติดกัน 10 วัน โดยที่ทุกวันต้องออกเดินทั้งวันไม่มีวันพักนอนเล่นอยู่โรงแรม มันหนักกว่าการใช้ชีวิตปกติอีกนะเนี่ย ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เสียงในหัวจะทำให้กระเด้งตัวจากที่นอนและสองขาจะออกเดินทันที เพื่อไปยังจุดหมายในแต่ละวันให้สำเร็จ แล้วเมื่อจบทริป เราก็มีสิ่งที่ทำสำเร็จเป็นร้อยอย่างเลย เก็บไว้เป็นพลังใจในการทำงานและใช้ชีวิตต่อไป
เจอกันใหม่ทริปหน้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ : )