2022FR_SMC: Copenhagen 1 วีค แบบชิลๆ

การมาโคเปนเฮเกนกับเพื่อนคราวนี้ก็ได้ทำอะไรที่แตกต่างไปจากสองครั้งที่แล้วที่มาคนเดียว หลักๆ เลยก็คือไม่ได้ปั่นจักรยาน เพราะอากาศมันแย่มาก ทั้งฝนทั้งหิมะตกสลับกันไป ประเมินความสามารถกันแล้วเราคงปั่นสู้ไม่ไหว ก็เลยนั่งรถบัส/รถไฟเป็นหลักมากกว่า ดังนั้นเราก็เลยไปซื้อบัตร City Pass ที่ตู้ในสถานี Copenhagen Central Station ราคา 300 DKK สำหรับใช้เดินทาง 5 วัน ก็คุ้มและไม่เสียเวลาตอนขึ้นลงรถ เพราะที่นี่จะต่างจากสวีเดนตรงที่ยังไม่สามารถใช้บัตรเครดิตจ่ายค่ารถบัสได้ค่ะ ต้องเป็นเงินสดเท่านั้น แล้วพอเราไม่มีเหรียญเล็กๆ จ่าย ก็โดนคนขับบ่นมาสองรอบ เลยตัดปัญหาซื้อการ์ด จบ!

วันแรกของทริปที่เหยียบโคเปนฯ ท้องฟ้าก็ยังคงขมุกขมัวและมีฝนตลอดทั้งวัน หลังจากลงรถไฟที่ Copenhagen Central Station เราก็ไปเช็คอินที่โรงแรม Scandic Spectrum ซึ่งเป็นโรงแรมเปิดใหม่ ไม่ห่างจากสถานีที่เราลงมากนัก ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีนิดๆ แต่ด้วยความมีกระเป๋าใบใหญ่และฝนตก ก็เลยเรียกแท็กซี่จะทรมานน้อยกว่า ก่อนจะไปเล่าถึงสถานที่เที่ยว ก็อยากจะรีวิวโรงแรมนี้นิดนึงว่า ด้วยความเป็นโรงแรมใหม่ ก็จะมีนักท่องเที่ยวมาพักค่อนข้างเยอะ เราอยู่ที่นี่ 6 คืน มีแขกลงมาทานอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์แน่นทุกวัน ซึ่งถ้าหากลงมาสายหน่อยก็จะหาที่นั่งค่อนข้างยาก และบางวันอาหารก็ไม่พอ วันท้ายๆ เราเลยยอมไปกินที่ Espresso House (เป็นร้านกาแฟที่มีสาขาเยอะมาก) แทน ส่วนห้องพักก็จะแคบๆ นิดนึง แต่ก็พอจะหมุนตัว เปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ แต่ที่เซ็งสุดคือในห้องไม่มีผ้าเช็ดเท้าและ slippers ให้ ซึ่งจริงๆ มันควรจะเป็น basic items ที่ควรมีให้ และจากการที่โทรไปถามพนักงาน ก็ได้รับคำตอบว่า ห้องเรทที่เราจอง (คืนละเกือบแปดพัน) จะไม่มีให้ ถ้าจองเรทอื่นที่แพงขึ้น จะมีสองสิ่งนี้ ก็อึ้งไป…

นอกจากสองเรื่องนี้ บริการอื่นๆ ก็โอเคนะคะ เค้ามีร่ม มีจักรยานให้เช่า การดูแลอื่นๆ รวมๆ ก็ดีค่ะ ส่วนที่ชอบก็คือเมื่อเดินข้ามถนนไปก็จะถึงสะพาน Kalvebod เลย ถ้าอากาศดีๆ ก็ไปเดินเล่นปล่อยใจถ่ายรูปได้สบายๆ ค่ะ

สำหรับรีวิวนี้ มีบางสถานที่ที่เราไปซ้ำบ้าง ก็จะไม่ลงรายละเอียดเยอะนะคะ อาจจะมีแค่รูปสวยๆ มาให้ดูนะคะ เริ่มเลอ : )

Danish Architecture Center (DAC)

หากใครที่เป็นแฟนตัวยงของเดนมาร์กก็จะรู้ว่าประเทศนี้เค้ามีความโดดเด่นเรื่องงานออกแบบสถาปัตยกรรมและผังเมืองมากๆ ที่นี่จึงเป็นนิทรรศการถาวรที่รวบรวมงานออกแบบสถาปัตยกรรมของชาวเดนมาร์กที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเข้าชมและมาทำความเข้าใจแนวคิดในการออกแบบได้หมดนะคะ

Design Museum Danmark

จากงานออกแบบสถาปัตยกรรม ก็มาดูงานออกแบบผลิตภัณฑ์กันบ้างที่ Danish Museum Danmark มิวเซียมนี้ตั้งอยู่ในโซนใกล้ๆ กับรูปปั้นเงือกน้อยและ Kastellet ใช้เวลาเดินประมาณ 12 นาทีก็ถึง หน้าตาอาคารจะดูเป็นอาคารเก่าเพราะเค้าใช้ตึกที่เคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อนมาทำมิวเซียมนี้ ข้างในก็จะเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับ Industrial design ตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบัน มีความเก๋ในวิธีการนำเสนอทุกโซนเลยค่ะ

Helle Mardahl Studio

ถัดจาก Danish Museum Danmark มาไม่ไกล ก็จะเดินมาถึงร้านเครื่องแก้วร้านนี้ค่ะ เป็นร้านที่เราตามมาจากในไอจีเพราะสีมันน่ารักมากๆ และของจริงก็น่ารักสุดๆ แต่ก็เสียวแตกสุดๆ เพราะรูปทรง freeform ของงานแต่ละชิ้นที่วางเรียง วางซ้อน บวกกับราคาที่เอื้อมสุดมือก็ยังไม่ค่อยไหว ก็เลยได้เดินชมรอบๆ แบบตัวเกร็งๆ นิดนึงค่ะ ฮ่าๆ ร้านนี้ไม่ใหญ่และอาจจะสังเกตยากนิดนึงเพราะต้องเดินขึ้นไปชั้นสองของอาคาร และเจ้าของร้านจะออกมาต้อนรับเราอย่างดี หากคิดว่าจะเข้าไปถ่ายรูปรัวๆ อย่างเดียว ก็อาจจะเขินๆ นิดนึงนะคะ ฮ่าๆ

Royal Copenhagen Flagship Store

Royal Copenhagen คือแบรนด์เซรามิคที่เก่าแก่หลักสองร้อยกว่าปีและมีชื่อเสียงแบรนด์นึงของโลกในเรื่องของคุณภาพและงานฝีมือ มีความเป็นงานศิลปะในแต่ละชิ้นงาน จุดเด่นก็คืองานเพนท์ลายสีน้ำเงินด้วยมือบนพื้นผิวเซรามิคสีขาว หากใครอยากเห็นความอลังการของแบรนด์นี้ สามารถไปชมได้ที่ Flagship store ของเค้าที่ Stroget เพราะนอกจากจะมีสินค้าให้เลือกซื้อ เค้าก็ยังมีการนำชุดเซรามิคที่วางขายจริงมาจัดแสดงเป็นชุดโต๊ะอาหารตามธีมต่างๆ ด้วย หากไม่เข้าไปซื้อ ก็เข้าไปเดินชมได้นะคะ ไม่เขิน : )

Copenhagen Contemporary (CC)

การเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะเดินเที่ยวบริเวณใจกลางเมืองโคเปนฯ แล้ว คราวนี้เราเลยลองกระโดดไปยังเขตใกล้ๆ ดูบ้าง นั่นคือ Refshaleøen โซนนี้เราเรียกเล่นๆ กะเพื่อนว่า เกาะโนมา เป็นเพราะว่าที่เขตนี้มีร้านอาหาร fine dining ที่มีชื่อเสียงอยู่หลายร้าน หนึ่งในนั้นคือ Noma ซึ่งเป็นร้านที่ดังมาก และก็แพงมากเกินเอื้อมเหมือนเคย คิดกันขำๆ แค่ว่า แม้จะเข้าไปกินไม่ได้ แค่ไปยืนถ่ายรูปหน้าร้านก็ยังดี เหมือนว่าได้มาแล้ว ฮ่าๆ

ก่อนเดินทางเราก็ไม่ได้หาข้อมูลอะไรไปมากกว่าการปักหมุดว่าจะไปดูอะไรบ้างแถวนั้น กับรถสายไหนที่จะพาเราไปถึงจุดหมาย แต่เมื่อมาถึงก็ประหลาดใจว่า นี่เค้ามาตั้งร้านอาหาร fine dining กันไกลขนาดนี้เลยหรอ เรานั่งรถบัสข้ามฝั่งออกนอกเมืองมาจนวิวสองข้างทางดูเหมือนเป็นชุมชนเล็กๆ บ้าง เป็นพื้นที่รกร้างบ้าง ซึ่งเมื่อเดินสำรวจรอบๆ ก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นพื้นที่ที่เคยใช้เกี่ยวกับการขนส่งสินค้า หรืออุตสาหกรรมอะไรซักอย่าง เหมือนว่ากำลังมีแผนจะถูกพัฒนาให้เป็นโซนฮิปโซนใหม่

หากมาคนเดียว ก็แอบคิดว่าน่าจะเสียความมั่นใจหน่อยๆ เพราะมันเงียบ ไม่ค่อยมีคนเดิน แต่เมื่อแวะเข้าไปในร้านอาหารหรือคาเฟ่ ก็จะเจอคนอยู่ในนั้นเต็มร้าน หรือแม้กระทั่ง CC ซึ่งเป็นศูนย์จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยที่ใช้โรงเชื่อมเหล็กเก่ามาดัดแปลง ก็มีคนเข้ามาเดินเรื่อยๆ ไม่วังเวงเลยค่ะ

CopenHill

เมื่อดูงานศิลปะแล้ว เราก็มาต่อที่ CopenHill ซึ่งยังอยู่ในบริเวณเกาะโนมา ที่นี่เราติดตามมาตั้งแต่ตอนเค้าเปิดตัวใหม่ๆ รู้สึกอยากมาดูของจริงมากๆ และแถมยังเป็นงานออกแบบของ BIG อีกด้วย ยิ่งทำให้อยากมาลองเดินดูจริงๆ แต่กว่าเราจะเดินจาก CC ไปถึง CopenHill ก็ใช้เวลาพอสมควร ประมาณ 20 นาที แม้ว่าจะมีรถบัส แต่ก็ช่วยเราร่นเวลาได้แค่ป้ายเดียว (แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะนะ ฮ่าๆ) 

ในขณะที่เราเดินมุ่งหน้าสู่ CopenHill เราจะเห็นปล่องที่มีควันลอยพวยพุ่งอยู่ไกลๆ และเหมือนเดินอ้อมอยู่ตลอดเวลา ไม่ถึงซักที เพราะว่ามันไม่มีเส้นทางลัดตัดตรงจากป้ายรถบัส เราต้องเดินอ้อมเป็นมุมสามเหลี่ยมเพื่อเข้าสู่ถนนเส้นหลักที่มุ่งตรงไปยัง CopenHill นั่นหมายความว่า ขากลับก็ต้องเดินแบบเดิมเช่นกันเพื่อไปขึ้นรถบัสกลับ…

เมื่อเดินเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้น สิ่งที่เราเห็นอย่างชัดเจนคืออาคารที่มีขนาดสูงใหญ่พร้อมกับปล่องควันแปะอยู่ที่มุมหนึ่งของอาคาร เห็นทางลาดสีเขียวและมีคนเล่นสกีอยู่ลิบๆ มองจากภายนอกบวกกับการอ่านป้ายก็จะคิดว่าที่นี่เป็นแค่ลานสกีที่ถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งกับตัวอาคาร แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้น ก็จะเห็นหน้าผาจำลองที่ก็เป็นส่วนหนึ่งของ facade อาคาร ที่สูงมาก! ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่ามีใครเคยปีนไปถึงยอดบนสุดมั้ย จากนั้นเราก็หาทางขึ้นไปชั้นบนสุดเพื่อดูวิว จุดนี้ทำให้เราได้รู้ว่าอาคารแห่งนี้ไม่ใช่อาคารธรรมดา แต่เป็นโรงเผาขยะเพื่อนำพลังงานมาผลิตไฟฟ้า! เราจะได้เห็นการทำงานภายในโรงเผาขยะผ่านลิฟต์แก้วที่พาเราขึ้นสู่ดาดฟ้าของโรงงาน และเมื่อขึ้นไปถึงแล้ว เราก็ยังสามารถเดินเล่น พักผ่อน ชมวิวเมืองโคเปนฯ ได้อย่างเพลิดเพลินมาก

ในความเป็นจริง หากใครอยากจะสร้างลานสกีหรือสถานที่ทำกิจกรรม ก็สามารถจะหาพื้นที่สร้างใหม่ได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้องใดๆ กับโรงงานอุตสาหกรรมด้วยซ้ำ แต่นี่คือสิ่งที่ทุกคนในโคเปนเฮเกนมีเป้าหมายร่วมกันคือการเป็น Carbon-neutral city เมืองแรกของโลกภายในปี 2025 ความร่วมมือและการออกแบบมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้น โดยนอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ที่นี่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพื้นที่อุตสาหกรรมกับชุมชนให้เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้คงไม่มีใครอยากเดินมาใช้เวลายามว่างแถวๆ โรงเผาขยะแน่ๆ แต่ไม่ใช่ที่ CopenHill… หากใครอยากมาที่นี่ ก็เผื่อเวลาสำหรับการเดินไว้ซักหน่อย ถ้าหิว ที่นี่ก็มีคาเฟ่ให้นั่งทานแบบกรุบกริบทั้งด้านหน้าอาคารและบนดาดฟ้าด้วยเช่นกันค่ะ

ด้านล่างนี้ก็จะเป็นรูปรวมๆ จอยๆ ของสถานที่ที่เรามาซ้ำในทริปนี้ เช่น Grundtvig church, Superkilen, Tivoli, Little Mermaid statue, HAY House, Nyhavn เป็นต้น

Rajissimo ร้านนี้มี Churros ที่กรอบ อร่อย ขอแนะนำว่าต้องไปชิมให้ได้ ถ้าแวะไปสาขาที่ Nyhavn เค้าจะเป็นร้านเล็กๆ มีที่นั่งไม่เยอะ แต่ได้บรรยากาศชิลๆ ดีค่ะ

เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคม ห้างต่างๆ เค้าก็จะมีจัดกิจกรรม โปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นการซื้อ หนึ่งในนั้นคือการแจกแชมเปญให้คนที่เดินเข้าห้างมาคนละแก้ว แล้วก็เดินจิบไป ดูของไป เพลินสุดๆ

นอกจากห้างแล้ว พวกชอปแบรนด์ต่างๆ ก็มีปาร์ตี้เหมือนกัน และนี่คือชอป Marimekko ตอนเดินเข้าไปนี่ไม่รู้จะดูอะไรเลย เพราะคนแน่นร้านมาก ก็เลยได้แต่รูปอาหาร แล้วก็เดินออกทันทีจ้า

ส่วนอันนี้เป็นชอป Hermes ที่ Stroget ที่เดินตามพี่ๆ ที่มาด้วยกันเข้าไป ส่วนตัวเราก็ไม่ได้มีปัญญาจะซื้ออะไรในนี้ ก็เข้าไปเดินวนสัมผัสประสบการณ์ เดินจนครบทุกโซนจนมาหยุดที่โซนเด็ก ซึ่งมีโต๊ะยาวพร้อมกับอุปกรณ์งานประดิษฐ์ต่างๆ ก็แอบถามก่อนเลยว่า อันนี้ทำแล้วได้ฟรีเลยใช่มั้ย ฮ่าๆ เค้าก็ตอบว่าใช่ เราก็เลยนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะนี้ยาวๆ ฆ่าเวลาไป สุดท้ายหลังจากพี่ๆ เค้าดูของกันเสร็จแล้ว เค้าก็มานั่งประดิษฐ์ของ คุยเล่นกับพนักงานระหว่างรอแพคของไปด้วย แฮปปี้มาก : )

สำหรับโคเปนเฮเกนรอบนี้ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่วีคนึง ถือว่านานที่สุดเมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ เพราะมีทั้งที่เก่าที่อยากไปซ้ำและที่ใหม่ที่อยากไปอัปเดต โดยที่ไม่รีบร้อนอัดหลายๆ ที่ในวันเดียว และแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สาม แต่โคเปนเฮเกนเป็นเมืองที่เราจะไม่ปฏิเสธเลยหากมีใครชวนให้ไปด้วย จะซ้ำอีกกี่รอบก็จะไป จากมุมมองส่วนตัว โคเปนเฮเกนไม่ใช่เมืองที่หวือหวาหรือตื่นเต้นเมื่อเทียบกับเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ แต่เป็นเมืองที่น่ารักและน่าค้นหา เราจะรู้สึกผ่อนคลายและได้รับพลังงานดีๆ ผ่านผู้คน งานออกแบบ ความคิดสร้างสรรค์ในแบบสแกนดิเนเวียนเสมอ  : )