การเดินทางครั้งนี้คือความตั้งใจที่จะเดินทางกลับไปเยี่ยมเมืองที่คิดถึงและรักมากนั่นคือ โคเปนเฮเกน ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วหลังจากครั้งล่าสุดเมื่อปี 2017 ก่อนโควิดจะมา ช่วงนั้นก็ยังไม่ใช่เมืองฮิตของนักเดินทางเท่าไหร่ แต่พอหลังจากโควิดซาไป เราก็เริ่มเห็นคนไปโคเปนเฮเกนกันเรื่อยๆ เลย ก็แอบดีใจปนหวั่นใจ เพราะเราก็กลัวว่าเมืองจะช้ำเพราะนักท่องเที่ยวแห่ไปกันเยอะ ซึ่งพอเอาเข้าจริงก็ไม่ขนาดนั้น ปี 2022 ที่ไปมา เมืองดูคึกคักขึ้นแต่ไม่หนาแน่นจนไม่น่าเที่ยว การไปคราวนี้ก็เลยเหมือนกลับไปดู ไปเดิน ไปสูดอากาศที่คิดถึง พร้อมกับสำรวจสิ่งใหม่ๆ ไปด้วย โดยเราจะเริ่มตั้งต้นที่ Stockholm > Malmo > Copenhagen จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ลองมาดูกัน
สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดมากคือ สภาพอากาศ หลายปีก่อนในช่วงเดือนเดียวกัน อากาศจะเย็นบวกกับมีลมแรงตลอดเวลา เราก็เลยเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวไปอย่างดี กะว่ารอดแน่ แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่หนาว มันมีฝนด้วย! สลับกับหิมะตก เริ่มมีวันที่แดดออกก็วันท้ายๆ ของทริปแล้ว การเดินทางจึงแฉะๆ หนาวๆ สลับกันไป ดังนั้นหากใครที่เตรียมจะไปโคเปนเฮเกนช่วงปลายปี ก็ควรเตรียมเสื้อผ้ารองเท้าที่กันน้ำ กันลม เผื่อไปด้วยนะคะ จะได้ไม่ทรมานระหว่างเดินทาง
Stockholm
ครั้งที่แล้วที่มามีเวลาอยู่แค่แป๊บเดียวเพราะเป็นแค่ทางผ่าน คราวนี้ก็เช่นกัน ฮ่าๆ เพราะว่าซื้อตั๋วมาลงที่นี่จะถูกกว่า ก็เลยมาแวะค้าง 2 คืน เดินเล่น หาร้านอร่อยกินในเมืองวันนึง แล้วก็ออก
สำหรับโรงแรม คราวนี้เราเลือกโรงแรม Sheraton ซึ่งค่อนข้างใกล้สถานีรถไฟหน่อย ราคาก็จะสูงนิดนึง ถ้าไปคนเดียวก็แอบแพงเลย แต่คราวนี้มีเพื่อนไปด้วย พอหารครึ่งแล้วก็ถือว่าโอเค คุ้มเลย



Meatballs for the People
ร้านนี้เพื่อนเราตามรอยเซเลปมา เป็นร้านที่หาไม่ยาก นั่งรถบัสมาประมาณ 10 นาทีแล้วเดินต่ออีกหน่อยก็ถึง ระหว่างทางโซนนี้ก็จะมีร้านเสื้อผ้า จิปาถะใดๆ ให้เดินเล่นได้ด้วยนะคะ ส่วนเมนูในร้านนี้ก็แน่นอนถ้าเรียกบ้านๆ แบบคนไทยก็คือลูกชิ้น ฮ่าๆๆ แต่จริงๆ มันก็ไม่เหมือนกันหรอก เพราะมีทบอลจะมีเนื้อหยาบและมีความเป็นเนื้อปั้นก้อนมากกว่า จุดเด่นของร้านนี้คือมีมีทบอลจากเนื้อหลากหลายชนิดมากกกกก และมาจากฟาร์มที่คัดสรรมาแล้วหลายแหล่งทั่วสวีเดน เพื่อให้ได้เนื้อที่ดีและมีคุณภาพมากที่สุด เมนูที่เราสั่งมาคือ We Love Meatballs จะเป็นมีทบอลรวมเนื้อ 4 ชนิด 8 ลูก และต้องสั่งพร้อมกับขนมปังกระเทียม คือที่สุด!!
The Stockholm Public Library
ห้องสมุดนี้จริงๆ ก็เกือบจะปล่อยผ่านไป แต่ว่าเวลาเหลือก็เลยแวะนิดนึง ตอนที่เราเข้าไปเป็นช่วงหัวค่ำละ ก็จะมีคนมานั่งอ่านหนังสือ ทำการบ้านกันจริงจัง ตอนเดินเข้าไปในโถงตรงกลางก็จะต้องเงียบ และพยายามเดินเบาๆ คุยเบาๆ ตอนนั้นมีคนเข้ามาที่นี่เพื่อมาถ่ายรูปแบบเราอยู่สองสามกลุ่ม พวกเราก็เลยรีบถ่ายรีบออกดีกว่า เกรงใจคนอ่านหนังสือ
Malmo

เราเดินทางออกจาก Stockholm สู่ Malmo โดยรถไฟใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง จองตั๋วล่วงหน้าไว้เลยที่… ซึ่งสามารถเลือกที่นั่งได้เลยว่าจะอยู่โบกี้ไหน โซนไหน เราเลยเลือกนั่งติดกับโบกี้ที่มีอาหารขาย เผื่อหิวก็ไปซื้อกินได้สะดวก เพราะนั่งนาน หิวแน่นอน
มัลโม เป็นเมืองที่เราเล็งไว้ตั้งแต่คราวก่อนว่าเหมือนจะมีอะไรน่าสนใจ แต่ก็ไม่มีโอกาสจะใส่ลงในแพลนซักที คราวนี้ได้โอกาส ไม่ได้รีบร้อนเดินทางไปไหน ก็เลยแวะซักหน่อย ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่คนมาเที่ยวเยอะเหมือนกัน ร้านอาหาร ถนนชอปปิ้ง หรือมิวเซียมต่างๆ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้าเรื่อยๆ ไม่เงียบเหงาอย่างที่คิด
จากสถานีรถไฟ Malmo Central Station เราก็เดินลากกระเป๋าไปยังโรงแรมที่เราจองไว้ Story Hotel Studio Malmo ณ เวลานั้นที่ตัดสินใจเดินเพราะคิดว่าไม่ไกลมาก แค่ 7 นาทีก็ถึง แต่ต้องไม่ใช่เวลาฝนตกน่ะสิ ฮ่าๆ และที่สำคัญ โรงแรมนี้ตั้งอยู่ปลายสุดถนน ที่ตลอดระยะทางที่เดินนั้นเงียบเชียบ ไม่มีร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้อใดๆ ให้แวะเลย ดังนั้น ต่อให้เหนื่อยหรือหนาวแค่ไหน ก็ต้องเดินออกไปหาของกินในโซนเมืองอยู่ดี ก็เลยจะไม่ค่อยแนะนำโรงแรมนี้หากเดินทางมาคนเดียวนะคะ เพราะเปลี่ยวและหาของกินยาก แต่ข้อดีของโรงแรมนี้ก็มีคือ วิวสวยเลย ห้องอาหารเช้าก็ดี นั่งทานไปชมวิวไป ชิลสุดๆ ค่ะ

และร้านอาหารมื้อค่ำที่เราอยากแนะนำให้มากินเลยก็คือ Mando Steakhouse & Bar เราเดินมาหามื้อเย็นในโซนนี้จากคำแนะนำของคุณพนักงานที่โรงแรม เป็นโซนที่มีร้านอาหารเยอะ บวกกับ Christmas market เล็กๆ ให้เดินเล่น ว่าแล้วเราก็ลองสุ่มดูว่าร้านไหนน่ากิน จนมาลงเอยที่ร้านนี้เพราะหิวมากกกกก อยากกินโปรตีนกันทั้งคู่ ฮ่าๆ และร้านนี้ก็ตอบโจทย์และอร่อยมาก เนื้อสเต๊กสามารถเลือกน้ำหนักได้ คนกระเพาะเล็กอย่างเราก็เลยเลือกชิ้นเล็กหน่อย ก็อิ่มแบบพอดีๆ นอนหลับสบายพุง : D
เช้าวันใหม่ในมัลโมวันนี้เราก็ลุ้นกับสภาพอากาศตั้งแต่ตื่นนอน เพราะมันทั้งครึ้มและมีฝนไม่หยุด ดีหน่อยที่เตรียมรองเท้าแบบที่น้ำไม่ซึมมาด้วย อย่างน้อยเท้าก็รอดแล้วหนึ่ง พอสายๆ หน่อย ฟ้าเริ่มสว่าง ฝนก็เริ่มหยุด เราสองสาวก็ออกเดินตามแพลน ที่แรกที่จะไปคือ Malmo Saluhall ที่นี่เป็นตลาดของกินเล็กๆ น่ารักแต่เปิดสายหน่อย 11 โมง หากใครไม่รีบร้อนทานอาหารเช้าที่โรงแรม ก็สามารถมาเริ่มต้นวันที่นี่ได้ มีร้านกาแฟ เบเกอรี่ และอาหารหลายร้านให้เลือกค่ะ
จุดหมายถัดมาคือ Moderna Museet Malmo เป็นมิวเซียมศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัย จุดเด่นของที่นี่คือ facade ของอาคารสีส้มจี๊ดจ๊าด ข้างในมิวเซียมมีขนาดไม่ใหญ่ เดินแป๊บเดียวก็ครบทุกโซนแล้ว และก็ไม่ค่อยมีอะไรว้าวสำหรับเรา สิ่งที่เราชอบจะเป็นเรื่อง branding ของเค้ามากกว่า การใช้สีส้มจัดๆ ในโซนร้านขายของ หรือตู้ล็อกเกอร์ที่ไม่ได้ใช้ตัวเลข แต่ใช้ชื่อของศิลปินกับ quote ของเค้าแทน เป็นต้น
จุดหมายสุดท้ายของเราในวันนี้ และเราตื่นเต้นอยากมาดูมากตั้งแต่เจอชื่อมิวเซียมนี้ นั่นคือ Disgusting Food Museum ซึ่งใช้เวลาเดินจากมิวเซียมมะกี๊ประมาณ 10 นาทีก็ถึงค่ะ ตัวมิวเซียมมีขนาดประมาณร้านค้า 1 ห้องมุมตึก เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะได้กลิ่นอบอวลชวนคลื่นไส้เบาๆ อันนี้พูดจริงไม่หลอก พอเข้าไปก็แสดงตัวว่าได้จองตั๋วมาเรียบร้อยแล้วที่บริเวณทางเข้า เค้าก็มีแจกถุงอ้วกให้ตั้งแต่ตรงนี้เลย ถ้าเดินดูๆ ไปแล้วไม่ไหว ก็ปล่อยได้ทันที การจัดแสดงอาหารชวนอ้วกนี้เป็นการรวบรวมของกินทั้งแปลกและไม่แปลกมาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ที่มีปัจจัยที่แตกต่างกันที่ทำให้เราแหวะ เช่น กลิ่น รส หรือกรรมวิธี เป็นต้น ซึ่งบางอย่างเราก็คิดไม่ถึงว่าเค้ากินสิ่งนี้กันด้วยหรอ ตัวอาหารก็มีทั้งของจริงบ้าง (เช่นพวกที่อยู่ใน packaging) โมเดลบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นหรือให้เราได้ชิมอะไร แต่สิ่งที่บิวต์ให้เราอยากอ้วกคือคำบรรยายของอาหารแต่ละอย่างหรือที่มาที่ไปของมันนี่แหละ อ่านไปก็จินตนาการไปด้วย นอกจากนี้เค้ายังมีโซนท้าประลองด้วยนะ เค้าจะมีแผ่นบิงโก และให้เราชิมอาหารตามรายการ ถ้าไม่อ้วกจนบิงโกก็ไม่รู้ว่าได้อะไรเหมือนกัน ฮ่าๆ
หลังจากเดินออกมา กลิ่นที่มันชวนพะอืดพะอมก็ยังอยู่ และเราไม่ได้เป็นคนเดียว เลยคุยกับเพื่อนว่า โอเค เราไปหาร้านอาหารเอเชียนกินกันดีกว่า ขอซุปร้อนๆ ล้างคอซักหน่อยเถอะ ฮ่าๆ




จบวันนี้ด้วยการชอปปิ้งนิดหน่อยแล้วก็กลับมาแพคกระเป๋าเตรียมขึ้นรถไฟไปโคเปนเฮเกนกันต่อวันพรุ่งนี้ค่ะ